คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1545/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยเก็บกระเป๋าเงินของโจทก์ร่วมได้แล้วแอบเปิดดูในลักษณะปกปิดซ่อนเร้น เมื่อถูกถามก็ปฏิเสธว่าเป็นกระเป๋าเปล่าทั้ง ๆ ที่ในกระเป๋าเงินดังกล่าวมีเงินอยู่ รวมตลอดถึงการที่จำเลยแอบเปิดซิป กระเป๋าแล้วมีอาการหน้าตื่นและเดินหลบเลี้ยวอ้อมไปข้างรถโดยไม่ไปขนปูนตามที่มีผู้ว่าจ้างนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นข้อพิรุธที่ส่อแสดงความไม่สุจริตของจำเลยทั้งสิ้น ซึ่งเมื่อพิจารณาประกอบคำเบิกความของโจทก์ร่วมที่ว่า กระเป๋าเงินที่จำเลยคืนให้นั้นซิป ถูกเปิดแย้มไว้ขณะตรวจพบว่าสร้อยคอทองคำหายไปจำเลยก็ออกจากที่เกิดเหตุไปแล้ว จึงเชื่อว่า จำเลยได้เอาสร้อยคอทองคำของโจทก์ร่วมไปจริง และเหตุที่จำเลยต้องคืนกระเป๋าเงินและเงินในกระเป๋าให้แก่โจทก์ร่วมก็เพราะว่า ขณะจำเลยเก็บกระเป๋าเงินของโจทก์ร่วมได้นั้น มี ส. ร่วมรู้เห็นอยู่ด้วย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5)พ.ศ. 2525 มาตรา 11 กับให้จำเลยคืนสร้อยคอทองคำหรือใช้ราคา3,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างการพิจารณา ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 334 จำคุก 2 ปี คำรับสารภาพชั้นสอบสวนและข้อนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือนให้จำเลยคืนสร้อยคอทองคำหรือใช้ราคา 3,000 บาท ให้ผู้เสียหายคำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์และโจทก์ร่วม
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ร่วมไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน เมื่อโจทก์ร่วมไปถามจำเลยก็คืนกระเป๋าเงินให้โจทก์ร่วมโดยดี หากโจทก์ร่วมไม่ได้เก็บสร้อยคอทองคำไว้ในกระเป๋าเงินและหายไปจริงก็ไม่มีสาเหตุอันใดที่โจทก์ร่วมต้องไปแจ้งความและเบิกความเช่นนั้น ศาลฎีกาเชื่อว่าโจทก์ร่วมเก็บสร้อยคอทองคำไว้ในกระเป๋าเงินและหายไปจริง ปัญหาว่าหลังจากจำเลยเก็บกระเป๋าเงินได้แล้ว จำเลยได้เอาสร้อยคอทองคำของโจทก์ร่วมไปคงคืนแต่เพียงกระเป๋าเงินและเงินในกระเป๋าแก่โจทก์ร่วมหรือไม่ ข้อนี้ได้ความจากนางสมบูรณ์พยานโจทก์ว่า พยานยืนอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุ จำเลยขี่รถจักรยานสามล้อผ่านมาจึงว่าจ้างให้จำเลยบรรทุกปูนที่รถโดยสารไปโรงงาน จำเลยลงจากรถจักรยานสามล้อไปหยิบกระเป๋าเงินสีเขียวซึ่งตกอยู่บนถนนริมทางเท้าห่างจากพยานราว3 เมตร จำเลยหันข้างให้พยานและรูดซิปแล้วเก็บกระเป๋าเงินไว้ พยานถามว่า กระเป๋าอะไร จำเลยว่ากระเป๋าเปล่าไม่มีอะไร พยานบอกให้จำเลยรีบไปขนปูน จำเลยมีอาการหน้าตื่นและเดินอ้อมไปข้างรถซึ่งเป็นคนละคันกับที่พยานบอกให้ไปขนปูน ต่อมาประมาณหนึ่งอึดใจโจทก์ร่วมมาถามหากระเป๋าเงิน พยานจึงเล่าให้ฟัง เห็นว่า นางสมบูรณ์พยานโจทก์ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีสาเหตุจะเบิกความปรักปรำจำเลย ทั้งตามสภาพและพฤติการณ์แห่งคดีก็ถือได้ว่าเป็นคนกลางที่มิได้มีส่วนได้เสียกับคดีคำเบิกความของนางสมบูรณ์จึงรับฟังเป็นความจริงได้โดยปราศจากข้อสงสัยการที่จำเลยเก็บกระเป๋าเงินของโจทก์ร่วมได้แล้วแอบเปิดดูในลักษณะปกปิดซ่อนเร้นเมื่อถูกถามก็ปฏิเสธว่าเป็นกระเป๋าเปล่า ๆ ทั้ง ๆ ที่ในกระเป๋าเงินดังกล่าวมีเงินอยู่ รวมตลอดถึงการที่จำเลยแอบเปิดซิปกระเป๋าแล้วมีอาการหน้าตื่นและเดินหลบเลี้ยวอ้อมไปข้างรถโดยไม่ไปขนปูนตามที่มีผู้ว่าจ้างนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นข้อพิรุธที่ส่อแสดงถึงความไม่สุจริตของจำเลยทั้งสิ้น ซึ่งเมื่อพิจารณาประกอบคำเบิกความของโจทก์ร่วมที่ว่า กระเป๋าเงินที่จำเลยคืนให้นั้นซิปถูกเปิดแย้มไว้ ขณะตรวจพบว่า สร้อยคอทองคำหายไป จำเลยก็ออกจากที่เกิดเหตุไปแล้ว ดังนี้ศาลฎีกาเชื่อว่า จำเลยได้เอาสร้อยคอทองคำของโจทก์ร่วมไปจริงและเหตุที่จำเลยต้องคืนกระเป๋าเงินและเงินในกระเป๋าให้แก่โจทก์ร่วมก็เพราะว่า ขณะจำเลยเก็บกระเป๋าเงินของโจทก์ร่วมได้นั้นมีนางสมบูรณ์ร่วมรู้เห็นอยู่ด้วยนั่นเอง การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share