คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1540/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อศาลชั้นต้นสั่งหน้าที่นำสืบตกแก่จำเลย จำเลยได้โต้แย้งคำสั่งนั้นไว้ จำเลยจึงมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2)
โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ แม้จำเลยต่อสู้ว่าเดิมที่พิพาทเป็นของโจทก์จริงแต่ได้ขายให้แก่จำเลยแล้วก็ตาม เมื่อปรากฏว่าที่พิพาทเป็นที่ไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ และจำเลยเป็นผู้ครอบครองอยู่ ดังนี้ หน้าที่นำสืบจึงตกแก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าได้ซื้อที่ดินพิพาทซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลท่างามจังหวัดสิงห์บุรี เมื่อ 7-8 ปีมานี้จำเลยเช่าอยู่ ครั้นต่อมาปี 2498หลานโจทก์ได้มาขออาศัยอยู่ในที่พิพาท จำเลยขัดขวาง จึงฟ้องขอให้ขับไล่จำเลย

จำเลยต่อสู้ว่าเดิมที่พิพาทเป็นของโจทก์จริงต่อมาโจทก์ได้ขายที่พิพาทให้จำเลย ๆ ได้ครอบครองถือสิทธิเป็นเจ้าของตลอดมา

ศาลชั้นต้นไม่เชื่อว่าโจทก์ขายที่พิพาทให้แก่จำเลย พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ให้ขับไล่จำเลยและบริวาร ห้ามไม่ให้เกี่ยวข้องต่อไป

จำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อนมิชอบ และว่าพยานจำเลยฟังได้ว่าโจทก์ได้ขายที่พิพาทให้แก่จำเลย

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าที่พิพาทไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินและจำเลยเป็นผู้ครอบครองอยู่ ในเบื้องต้นต้องสันนิษฐานว่า จำเลยผู้ครอบครองที่พิพาทมีสิทธิดีกว่าโจทก์ ฉะนั้นหน้าที่นำสืบจึงตกอยู่แก่โจทก์ ส่วนข้อเท็จจริงไม่เชื่อว่าจำเลยเช่าที่พิพาทจากโจทก์พิพากษายกฟ้อง

โจทก์ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นสั่งหน้าที่นำสืบตกแก่จำเลย ๆ ยอมรับนำสืบแล้ว จะมาคัดค้านภายหลังไม่ชอบ และว่าจำเลยเช่าที่พิพาทจากโจทก์

ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อนตามรายงานพิจารณาลงวันที่ 8 เมษายน 2498 ต่อมาวันที่ 13 เดือนนั้นจำเลยได้ยื่นคำแถลงโต้แย้งคำสั่งนั้นตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) จำเลยจึงมีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ได้และศาลอุทธรณ์ก็ได้วินิจฉัยมาชอบแล้ว ส่วนข้อเท็จจริงนั้นโจทก์นำสืบไม่สมฟ้อง พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share