แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีเพื่อรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนกับผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ ดังนั้น จำเลยร่วมจะต้องรับผิดหรือไม่ จึงขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ผู้ขับรถยนต์คันที่จำเลยร่วมรับประกันภัยไว้นั้นได้ขับรถยนต์โดยประมาท อันเป็นการกระทำละเมิดหรือไม่และขึ้นอยู่กับข้อกำหนดในกรมธรรม์ประกันภัย ขณะเกิดเหตุผู้เอาประกันภัยค้ำจุนได้นำรถยนต์ไปซ่อมเครื่องยนต์ที่อู่ซ่อมรถยนต์โดยยินยอมให้คนในอู่ขับรถได้ เมื่อคนในอู่ขับรถยนต์นั้นโดยประมาท ก็ต้องถือเสมือนหนึ่งว่าผู้เอาประกันภัยได้ขับรถโดยประมาทเองตามที่กรมธรรม์ประกันภัยระบุไว้ จำเลยร่วมผู้รับประกันภัยค้ำจุนจึงต้องรับผิด และกรณีนี้แม้คำฟ้องจะระบุว่าผู้อื่นเป็นผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุก็ตาม ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างจากฟ้อง
ความรับผิดของจำเลยร่วมเกิดขึ้นตามสัญญาประกันภัยและมีลักษณะเป็นการประกันวินาศภัยตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ 20 หมวด 2 การฟ้องเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนความเสียหายจำต้องถืออายุความ 2 ปี นับแต่วันเกิดวินาศภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 882 วรรคแรกเมื่อโจทก์เรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี แต่ยังไม่เกิน 2 ปี นับแต่วันละเมิด ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับประกันวินาศภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน ๒ง-๒๐๗๐ ในระหว่างอายุสัญญา จำเลยที่ ๑ ขับขี่รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๔ค-๖๕๓๗ ด้วยความประมาทขนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๒ง-๒๐๗๐ ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ ๒ เป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ ต้องร่วมกันรับผิดได้รับความเสียหาย จำเลยที่ ๒ เป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ ต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้รับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๒ง-๒๐๗๐ ขอให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายจำนวน ๒๐,๗๘๙ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ ๑ มิได้เป็นผู้ขับขี่รถยนต์คัน ๔ค-๖๕๓๗ ขณะเกิดเหตุรถคันดังกล่าวซ่อมอยู่ที่อู่ซ่อม จำเลยทั้งสองไม่ได้ก่อความเสียหายขอให้ยกฟ้อง
ในระหว่างพิจารณา โจทก์ขอให้เรียกจำเลยร่วมผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คัน ๔ค-๖๕๓๗ ตามภาพถ่ายกรมธรรม์ประกันภัยท้ายคำร้องเข้ามาในคดีศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นผู้ขับขี่รถยนต์คัน ๔ค-๖๕๓๗ จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิด จำเลยร่วมจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ เหตุเกิดเพราะความประมาทของผู้ขับขี่รถยนต์คัน ๒ง-๒๐๗๐ ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยร่วมขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยร่วมชำระเงิน ๒๐,๗๘๙ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยให้แก่โจทก์
จำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยร่วมฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ขับขี่รถยนต์ยี่ห้อโคลท์กาแลนท์คันหมายเลขทะเบียน ๔ค-๖๕๓๗ ไปเพื่อประโยชน์ตามคำสั่งในทางการที่จ้างหรือทำการแทนในกิจการของจำเลยที่ ๒ จนไปเกิดเหตุละเมิดนี้ และในทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า จำเลยที่ ๑ เป็นคนขับรถคันดังกล่าวในขณะเกิดเหตุ แต่ข้อเท็จจริงที่จำเลยร่วมนำสืบกลับปรากฏว่า ในขณะเกิดเหตุรถยนต์คันดังกล่าว จำเลยที่ ๒ นำไปซ่อมที่อู่รถยนต์ ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ ก็มิได้เป็นผู้ขับขี่และใครจะเป็นผู้ขับขี่ก็ไม่ทราบข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับคำฟ้องของโจทก์นั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีนี้โจทก์ขอให้จำเลยร่วมรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนจำเลยที่ ๒ ผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๒ง-๒๐๗๐ ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ ดังนั้นจำเลยร่วมจะต้องรับผิดหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้ขับรถยนต์คันที่จำเลยร่วมรับประกันไว้นั้นได้ขับรถโดยประมาทอันเป็นการกระทำละเมิดหรือไม่ และข้อกำหนดในกรมธรรม์ประกันภัย เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบและจำเลยร่วมมิได้นำสืบโต้แย้งคัดค้านว่า ผู้ขับรถยนต์ดังกล่าวได้ขับรถด้วยความเร็วสูง และแล่นเข้ามาในช่องทางเดินรถคัดหมายเลขทะเบียน ๒ง-๒๐๗๐ จึงเกิดชนกับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๒ง-๒๐๗๐ ซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้เช่นนี้ ต้องฟังว่าผู้ขับขี่รถยนต์คันที่จำเลยร่วมรับประกันภัยไว้นั้นได้ขับรถยนต์โดยประมาทในขณะเกิดเหตุเป็นเหตุให้รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๒ง-๒๐๗๐ ได้รับความเสียหาย ส่วนจำเลยที่ ๑ หรือผู้ใดจะเป็นผู้ขับรถคันที่กระทำละเมิดนั้นหาใช่ข้อสาระสำคัญไม่ เพราะแม้จะฟังตามที่จำเลยร่วมนำสืบว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ ๒ ได้นำรถคันดังกล่าวไปซ่อมเครื่องยนต์ที่อู่โดยมอบกุญแจรถให้อู่ไว้ ซึ่งศาลล่างทั้งสองฟังว่าคนในอุ่นำรถไปขับเพื่อทดลองเครื่องยนต์จนเกิดเหตุคดีนี้ขึ้น จำเลยร่วมก็ยังต้องรับผิดเนื่องจากสัญญากรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.๖ ข้อ ๒.๘ ซึ่งกล่าวถึงเรื่องการคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ระบุว่าบริษัทจะถือว่าบุคคลใดซึ่งขับขี่รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเองเมื่อศาลอุทธรณ์ฟังตามเช่นนี้ กรณีต้องถือเสมือนหนึ่งว่าผู้เอาประกันภัยคือจำเลยที่ ๒ ได้ขับรถโดยประมาทเอง จำเลยร่วมผู้รับประกันภัยค้ำจุนจึงต้องรับผิด กรณีนี้ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงในการพิจารณาแตกต่างกับฟ้องดังที่จำเลยร่วมฎีกา
ส่วนฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยร่วมว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์เรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีเมื่อพ้นกำหนด ๑ ปี นับแต่วันกระทำละเมิดนั้นศาลฎีกาเห็นว่า ความรับผิดของจำเลยร่วมเกิดขึ้นตามสัญญาประกันภัยและมีลักษณะเป็นการประกันวินาศภัยตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ ๒๐ หมวด ๒ การฟ้องเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนความเสียหายจึงต้องถืออายุความ ๒ ปี นับแต่วันเกิดวินาศภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๘๒ วรรคแรก หาใช่ถืออายุความ ๑ ปี ดังข้อฎีกาของจำเลยร่วมไม่ ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน ให้จำเลยร่วมใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๕๐๐ บาทแทนโจทก์