คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1538/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประกาศดังกล่าวกำหนดไว้ว่า ‘ข้อ 6 กองปราบปรามมีเขตอำนาจการรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และตามบทกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับความผิดคดีอาญาทั้งหลายทั่วราชอาณาจักร’ ย่อมหมายความว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามมีอำนาจหน้าที่สืบสวนสอบสวนคดีอาญาได้ทั่วราชอาณาจักร แม้จะมีข้อบังคับกรมตำรวจกำหนดเขตอำนาจหน้าที่ของกองกำกับการแต่ละกองไว้ก็เป็นเพียงคำสั่งภายในเท่านั้น หากผู้บังคับบัญชาสั่งให้นายตำรวจคนใดไปสืบสวนสอบสวนนอกเขตที่กำหนดไว้นี้นายตำรวจผู้นั้นย่อมมีอำนาจหน้าที่ในฐานะเจ้าพนักงานโดยชอบด้วยกฎหมาย ฉะนั้น การที่จำเลยที่ 1 ทำการนอกเหนือจากเขตอำนาจหน้าที่ซึ่งแบ่งไว้ ไม่ทำให้จำเลยที่ 1 ไม่เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย
จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีอำนาจหน้าที่สืบสวนสอบสวนความผิดอาญา ฉะนั้น การจับกุมผู้กระทำผิดในฐานเป็นเจ้ามือสลากกินรวบจึงเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยชอบมิใช่การแกล้งกล่าวหา แต่เมื่อไปขู่เข็ญให้จ่ายเงินสินพนันสลากกินรวบแก่ผู้เล่นแล้วละเว้นไม่จับกุมย่อมเป็นความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149
จำเลยที่ 2 เป็นราษฎรไปขอให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจช่วยเจรจากับเจ้ามือสลากกินรวบให้จ่ายเงินสินพนันสลากกินรวบแก่ตน แต่จำเลยที่ 1 ไปใช้อำนาจในตำแหน่งโดยพลการขู่เข็ญเจ้ามือสลากกินรวบว่า หากไม่จ่ายให้แก่จำเลยที่ 2 แล้วจะจับกุมฐานเป็นเจ้ามือสลากกินรวบ ดังนี้ ยังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมมือกับจำเลยที่ 1 โดยการใช้วานให้จำเลยที่ 1 ขู่เข็ญ เรียกเงินมาให้จำเลยที่ 2 หรือแบ่งปันระหว่างกัน ยังไม่ผิดฐานเป็นผู้ใช้จ้างวานยุยงส่งเสริมหรือสนับสนุนให้จำเลยที่ 1 กระทำผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าพนักงานตำรวจในตำแหน่งสารวัตรประจำกองปราบปรามกรุงเทพฯ มีอำนาจสืบสวนสอบสวนจับกุมผู้กระทำผิดอาญาทั่วราชอาณาจักร ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นราษฎรได้บังอาจสมรู้ใช้วานยุยงส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการกระทำผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ซึ่งใช้อำนาจหน้าที่มิชอบ โดยบังคับขู่เข็ญข่มขืนใจให้นายใจจิ่งหรือเท้า แซ่ก๊วย และนางสาวประทุมมาศหรือม่วย แซ่ก๊วย ยอมจ่ายเงิน๕,๐๐๐ บาทแก่จำเลยทั้งสอง โดยจำเลยที่ ๒ อ้างว่าได้แทงสลากกินรวบโดยถือเลขท้ายสามตัวของรางวัลที่ ๑ สลากกินแบ่งรัฐบาลงวดวันที่๒๕ กันยายน ๒๕๐๖ เป็นหลักแพ้ชนะไว้กับบุคคลทั้งสองดังกล่าว และจำเลยที่ ๒ ได้แทงถูกเลขรางวัลดังกล่าว เป็นเหตุให้บุคคลทั้งสองซึ่งกลัวตามคำขู่ว่าจะถูกตั้งข้อหาเป็นเจ้ามือสลากกินรวบถูกจับไปสอบสวนและถูกสั่งขังเป็นบุคคลอันธพาลยอมจ่ายเงินเป็นจำนวน ๓,๐๐๐บาทแก่จำเลยทั้งสองไป ทั้งนี้ โดยจำเลยที่ ๑ ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานบังอาจใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ กระทำการดังกล่าว และยังปฏิบัติละเว้นปฏิบัติหน้าที่อันมิชอบโดยร่วมมือกับจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้เข้าเล่นสลากกินรวบอันเป็นผิดกฎหมาย ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๘, ๑๔๙, ๑๕๗, ๘๔, ๘๖ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๔, ๕, ๑๓ ริบโพยสลากกินรวบของกลางกับคืนเงิน ๓,๐๐๐ บาท และสัญญากู้แก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยที่ ๑ ได้ใช้อำนาจหน้าที่มิชอบบังคับขู่เข็ญผู้เสียหายให้จ่ายเงินแก่จำเลยที่ ๒ ตามฟ้องการกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๘บทเดียว ไม่ผิดตามมาตรา ๑๔๙, ๑๕๗ ส่วนจำเลยที่ ๒ ซึ่งไม่ใช่เจ้าพนักงานเป็นผู้จ้างวานใช้ให้กระทำผิด จึงผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา ๘๖ พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๘ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒มาตรา ๔ ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๕ ปี ลงโทษจำเลยที่ ๒ เพียง๒ ใน ๓ ตามมาตรา ๘๖ ให้จำคุก ๓ ปี ๔ เดือน คำให้การต่อสู้คดีของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีมากเป็นเหตุบรรเทาโทษจึงลดโทษจำเลยคนละ ๑ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงเหลือโทษจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๔ ปี จำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๒ ปี ๖ เดือนคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย โพยสลากกินรวบให้ริบเงิน ๓,๐๐๐ บาทคืนให้นายใจจิ่งหรือเท้าผู้เสียหาย สัญญากู้เงินคืนให้แก่จำเลยที่ ๒
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงยืนตามศาลชั้นต้นและวินิจฉัยว่าอุทธรณ์จำเลยที่ ๑ ที่ว่ามิใช่เจ้าพนักงานตามกฎหมายฟังไม่ขึ้นแต่วินิจฉัยการกระทำของจำเลยที่ ๑ ว่าเป็นการขู่ว่าจะกระทำการซึ่งตนมีอำนาจกระทำได้โดยชอบ เพราะนายใจจิ่งเป็นเจ้ามือสลากกินรวบมิใช่เป็นการแกล้งกล่าวหาโดยปราศจากมูลความจริง การกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๙ มิใช่มาตรา ๑๔๘ดังที่ศาลชั้นต้นปรับบทวินิจฉัย ส่วนการกระทำของจำเลยที่ ๒ ที่แจ้งเรื่องถูกสลากกินรวบให้จำเลยที่ ๑ ช่วยเหลือนั้น ก็สุดแต่ดุลพินิจของจำเลยที่ ๑ จะพิจารณาดำเนินการเองจึงไม่เป็นผิดในฐานสนับสนุนการกระทำผิด พิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๙ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๕ ส่วนจำเลยที่ ๒ ไม่มีความผิดตามฟ้อง ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๒ เสีย ความอื่นนอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ ฎีกาซึ่งศาลสั่งรับแต่ปัญหาข้อกฎหมายว่า (๑) จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งสารวัตรแผนก ๒ กองกำกับการ ๖ กองปราบปราม มิได้มีอำนาจหน้าที่สืบสวนสอบสวนความผิดฐานเล่นการพนันจึงมิใช่เจ้าพนักงานเกี่ยวกับเรื่องราวตามฟ้อง อันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๘, ๑๔๙ (๒) หากจะถือว่าจำเลยที่ ๑เป็นเจ้าพนักงานมีอำนาจหน้าที่จับกุมผู้กระทำผิดทั่วราชอาณาจักรพฤติการณ์ของจำเลยที่ ๑ ก็ต้องถือว่าเป็นการกระทำภายในอำนาจหน้าที่โดยชอบ
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ ตามฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยเกี่ยวกับฎีกาจำเลยที่ ๑ ว่า ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ ๓ ออกตามความในพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกรมตำรวจกระทรวงมหาดไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๐๔ ได้กำหนดเขตอำนาจของกองปราบปรามไว้ว่า “กองปราบปรามมีเขตอำนาจการรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และตามบทกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับความผิดคดีอาญาทั้งหลายทั่วราชอาณาจักร” ย่อมหมายความว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามมีอำนาจหน้าที่สืบสวนสอบสวนความผิดคดีอาญาทั้งปวงได้ทั่วราชอาณาจักร แม้จะมีข้อบังคับกรมตำรวจกำหนดแบ่งเขตอำนาจหน้าที่ของกองกำกับการแต่ละกองไว้ เช่นกองกำกับการ ๖ซึ่งจำเลยที่ ๑ สังกัดอยู่นี้ก็เป็นเพียงคำสั่งภายในแบ่งอำนาจหน้าที่ของแต่ละกองแผนกไว้เท่านั้น หากผู้บังคับบัญชาสั่งให้นายตำรวจคนใดไปสืบสวนสอบสวนนอกเขตอำนาจของตน นายตำรวจผู้นั้นย่อมมีอำนาจหน้าที่ในฐานะเจ้าพนักงานโดยชอบด้วยกฎหมาย เพียงแต่จำเลยที่ ๑ ทำการนอกเหนืออำนาจหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาไม่ทำให้จำเลยที่ ๑ ไม่เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย
เมื่อถือว่าจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าพนักงานมีอำนาจหน้าที่และศาลอุทธรณ์ฟังว่า นายใจจิ่งเป็นเจ้ามือสลากกินรวบ การกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงมิใช่การแกล้งกล่าวหาเรียกได้ว่าเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยชอบ แต่การที่จำเลยที่ ๑ ขู่ให้ชำระเงินแก่จำเลยที่ ๒แล้วละเว้นไม่จับกุม เป็นความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๙
ส่วนฎีกาโจทก์ที่ให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่าข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่าจำเลยที่ ๒ ไปร้องเรียนขอความช่วยเหลือจากจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นสารวัตรกองปราบปราม หากแต่จำเลยที่ ๑ ไปใช้อำนาจในฐานะเจ้าพนักงานขู่เข็ญเอาจากนายใจจิ่งเองโดยพลการ ไม่พอฟังว่าจำเลยที่ ๒ ได้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ โดยการใช้จ้างวานยุยงส่งเสริมหรือสนับสนุนให้จำเลยที่ ๑ กระทำผิด
พิพากษายืน

Share