คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1536/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การบังคับคดีต้องอาศัยคำพิพากษาเป็นหลัก. เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ค้ำประกันหนี้ด้วยทรัพย์ที่จำนองไว้กับโจทก์. และโจทก์ก็ได้ฟ้องบังคับจำนองกับจำเลยที่ 2ด้วย. ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินแก่โจทก์. ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ. ก็ให้จำเลยที่ 2ไถ่จำนองเต็มจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระ. และหากบังคับจำนองขายทรัพย์ที่จำนองได้ไม่พอชำระหนี้ก็ให้โจทก์ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยที่ 1 ขายใช้หนี้ได้จนครบ. ดังนี้ เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้. จำเลยที่2 ผู้จำนองเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 จึงต้องไถ่จำนองเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาเพื่อปัดป้องมิให้ตนต้องถูกบังคับจำนอง. และเมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ชำระหนี้.หรือไม่ไถ่จำนอง.ก็ต้องถูกบังคับจำนองขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนองตามคำพิพากษา. โจทก์จึงมีสิทธิยึดทรัพย์ที่จำนองเพื่อขายทอดตลาดได้. จำเลยที่ 2 จะอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 688,689,690 ว่าด้วยค้ำประกัน.มาใช้เป็นประโยชน์แก่ตนหาได้ไม่. มิฉะนั้นแล้วบทบัญญัติในลักษณะจำนองดังกล่าวแล้วก็จะไร้ผลและผิดหลักการจำนองเป็นประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะต้องชำระ.

ย่อยาว

คดีนี้ เป็นกรณีในชั้นบังคับคดีโดยโจทก์ฟ้องมีใจความว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี จำเลยที่ 2 ได้จำนองที่ดินเป็นประกันหนี้จำเลยที่ 1 เป็นเงิน 550,000 บาท โดยมีข้อสัญญาอีกว่า ถ้าจำเลยมีหนี้เกินวงเงินตามสัญญาจำนองอีกเท่าใด จำเลยที่ 2 ยอมให้ถือเป็นลูกหนี้ร่วม ถ้าบังคับจำนองไม่พอใช้หนี้ยอมให้ยึดทรัพย์จำเลยที่ 2 ใช้หนี้ได้จนครบ ต่อมาจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ โจทก์ได้ทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองแล้วก็ไม่ชำระหนี้ จึงฟ้องขอให้บังคับ คดีถึงที่สุดโดยศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1ใช้เงิน 660,575.37 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ 2 ไถ่จำนองเต็มจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระหากบังคับจำนองขายทรัพย์ได้ไม่พอชำระหนี้ ก็ให้โจทก์ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยที่ 1 ขายใช้หนี้ได้จนครบ เมื่อครบกำหนดตามคำบังคับแล้ว จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงขอหมายบังคับคดียึดที่ดินมีโฉนดของจำเลยที่ 2 ที่ทำสัญญาจำนองไว้กับโจทก์ จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า โจทก์ชอบที่จะเอาชำระหนี้จากจำเลยที่ 1 ก่อน เพราะจำเลยที่ 1 มิได้เป็นผู้ล้มละลาย ทั้งยังมีตัวและค้าขายอยู่ในจังหวัดพระนคร จึงขอให้ศาลสั่งยึดทรัพย์จำเลยที่ 1และสินบริคณห์ของจำเลยที่ 1 กับภริยาก่อน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง จำเลยที่ 2 อุทธรณ์อ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 688, 689, 690 ขอให้สั่งตามคำร้องจำเลยที่ 2 หรือขอให้ไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ 2 ก่อน ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ 2 ไม่ใช่ลูกหนี้ร่วมแต่เป็นผู้จำนองเพื่อประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 และจะต้องใช้หนี้แทนเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ โจทก์จึงต้องบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก่อน พิพากษาให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้น และให้บังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก่อน หากไม่มีหรือไม่พอจึงให้บังคับเอาจากทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 ต่อไป โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ได้ฟ้องบังคับจำนองจำเลยที่ 2 ด้วย มิได้ฟ้องในฐานะผู้ค้ำประกันโดยไม่มีหลักทรัพย์จำนอง จำเลยที่ 2 จะอ้างสิทธิคุ้มครองตามมาตรา 688, 689, 690 ไม่ได้ ศาลฎีกาเห็นว่า การบังคับคดีต้องอาศัยคำพิพากษาเป็นหลัก คดีนี้ปรากฏว่า จำเลยที่ 2 ค้ำประกันหนี้ด้วยทรัพย์ที่จำนองไว้กับโจทก์ และโจทก์ได้ฟ้องบังคับจำนองกับจำเลยที่ 2 ด้วยซึ่งศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินแก่โจทก์ ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระก็ให้จำเลยที่ 2 ไถ่จำนองเต็มจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระหากบังคับจำนองขายทรัพย์ที่จำนองได้ไม่พอชำระหนี้ก็ให้โจทก์ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยที่ 1 ขายใช้หนี้ได้จนครบ ดังนี้ เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษานี้ ซึ่งระบุไว้ชัดแจ้งแล้วว่า ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ ก็ให้จำเลยที่ 2 ไถ่จำนองเต็มจำนวนหนี้ จำเลยที่ 2 ผู้จำนองเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 1จึงต้องไถ่ถอนจำนองเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาเพื่อปัดป้องมิให้ตนต้องถูกบังคับจำนองตามมาตรา 709, 724 และเมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ชำระหนี้หรือไม่ไถ่จำนอง ก็ต้องถูกบังคับจำนองขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนองตามคำพิพากษา โจทก์จึงมีสิทธิยึดทรัพย์ที่จำนองเพื่อขายทอดตลาดได้ตามมาตรา 728 ฉะนั้น จำเลยที่ 2 จะอ้างสิทธิตามมาตรา 688, 689,690 ว่าด้วยค้ำประกันมาใช้เป็นประโยชน์แก่ตนไม่ได้ เพราะถ้าผู้จำนองเป็นประกันหนี้ของลูกหนี้อ้างสิทธิตามมาตรา 688, 689, 690 ได้บทบัญญัติในลักษณะจำนองดังกล่าวแล้วก็จะไร้ผล และผิดหลักการจำนองเป็นประกันหนี้อันผู้อื่นจะต้องชำระ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้น.

Share