คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1536/2482

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ยื่นคำร้องขอจับจองที่ดินซึ่งมีผู้อื่นครอบครองอยู่นั้น ผู้ขอจับจองไม่มีสิทธิ์ดีกว่าผู้ครอบครอง

ย่อยาว

ข้อเท็จจริงได้ความว่า ที่พิพาทนี้จำเลยได้ซื้อมาจากนางผึ้งเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๑ โดยทำหนังสือซื้อขายกันต่ออำเภอบ้านดอน เมื่อซื้อแล้วจำเลยได้เข้าครอบครองทำเป็นไร่ข้าวบ้างให้ผู้อื่นเช่าบ้าง ครั้งเมื่อ ๖-๗ ปีมานี้นารายพิพาทหมดปุ๋ย จำเลยจึงทิ้งให้รกจนหญ้าและต้นไม้ขึ้นแล้วจึงได้ถางทำเป็นไร่ข้าวต่อไปตามประเพณีของท้องถิ่น โจทก์จึงได้ร้องขอจับจองที่พิพาทนี้
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยเพิ่งปล่อยให้ที่พิพาทรกร้างมาราว ๗-๘ ปีเพื่อให้เกิดปุ๋ยมิได้จงใจละทิ้งเพื่อสละกรรมสิทธิ์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจที่จะจับจอง จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการที่จำเลยละทิ้งที่นี้ไปเป็นเวลา ๔ ถึง ๘ ปีต้องถือว่าจำเลยได้สละเจตนาครอบครองที่นี้แล้วเพราะกรณีไม่มีสภาพเป็นเหตุชั่วคราวตามประมวลกฎหมายแพ่งฯ ม.๑๓๗๗ ที่พิพาทเป็นที่มือเปล่าและเป็นไร่ข้าว แม้จำเลยละทิ้งไม่ถึง ๑๐ ปี ก็่ย่อมขาดสิทธิครอบครอง จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ห้ามมิให้จำเลยขัดขวางในการที่โจทก์ขอจับจอง
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์มีได้นำสืบว่าโจทก์ได้เข้าปกครองหรือทำประโยชน์อย่างใดในที่วิวาท ยังเรียกไม่ได้ว่าโจทก์ได้จับจองที่พิพาท เพราะเจ้าพนักงานยังมิได้อนุญาต การที่โจทก์ไปขอร้องจับจองทับที่จำเลยนั้น ไม่ทำให้โจทก์มีสิทธิ์ดีกว่าจำเลยแม้จะฟังว่าจำเลยปล่อยให้หญ้าขึ้นเพื่อให้เกิดปุ๋ย เป็นการสละการปกครอง แต่จำเลยก็ได้กลับเข้าปกครองที่ของตนก่อนโจทก์ขอจับจองจึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share