แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยขับรถยนต์ชนรถยนต์คันอื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายแก่กายสาหัส ส่วนจำเลยก็หมดสติไปไม่อยู่ในสภาวะที่จะช่วยตนเองได้ การที่จำเลยงดเว้นไม่ช่วยเหลือผู้อื่นและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่มิใช่เพราะจำเลยมีเจตนาฝ่าฝืนกฎหมายจึงมิใช่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 300 และพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43,78, 157, 160 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 300 ลงโทษตามมาตรา 291 ซึ่งเป็นบทหนักจำคุก 6 ปี และตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43, 78, 157, 160 จำคุก 1 เดือน รวมเป็นจำคุก 6 ปี 1 เดือน จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78, 160โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและรับอันตรายแก่กายสาหัสแล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “สำหรับปัญหาที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยได้กระทำผิดต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78 ที่บัญญัติว่าเมื่อจำเลยขับรถก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นแล้วไม่ให้ความช่วยเหลือและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงทันที นั้น เห็นว่า ตามคำเบิกความของนายประสาน เอี่ยมขจร และนายทวีป ฟักผลพยานโจทก์ทั้งสองว่าหลังเกิดเหตุจำเลยหมดสติ พยานทั้งสองช่วยหามจำเลยขึ้นรถที่นายทวีปขับไปส่งโรงพยาบาล ซึ่งเจือสมกับคำเบิกความของนายแพทย์ชาญชัย หลิมประเสริมศิริ แพทย์ผู้รักษาจำเลยพยานจำเลยว่าขณะไปถึงโรงพยาบาลอำเภอบางเลน จำเลยยังไม่รู้สึกตัวซึ่งแสดงว่าการที่จำเลยไม่ช่วยเหลือผู้อื่นและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น มิใช่เพราะจำเลยมีเจตนาฝ่าฝืนข้อบังคับของกฎหมายในเรื่องนี้ หากแต่เป็นเพราะจำเลยเองก็ไม่อยู่ในสภาวะที่จะช่วยตนได้ ย่อมไม่สามารถช่วยเหลือผู้อื่นและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ การงดเว้นการกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดดังที่โจทก์ฎีกา”
พิพากษายืน