แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ผู้ค้ำประกันได้ชำระให้แก่เจ้าหนี้ตามสัญญาค้ำประกัน เพราะเหตุลูกหนี้ไม่ปฏิบัติตามสัญญาที่ทำไว้กับเจ้าหนี้อันเป็นการผิดสัญญานั้น เป็นดอกเบี้ยที่ลูกหนี้จะต้องรับผิดชดใช้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคแรก และเป็นดอกเบี้ยที่กำหนดแทนค่าเสียหายดอกเบี้ยในกรณีเช่นนี้ไม่ใช่ดอกเบี้ยค้างส่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166 จึงมีอายุความ 10ปี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ได้ขอให้ธนาคารโจทก์ค้ำประกันเงินมัดจำและการปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายที่ดิน โฉนดเลขที่ 3905 ของจำเลยที่ 1ผู้ขาย ต่อมานายบุญถมผู้ซื้อธนาคารโจทก์สาขาปทุมวันได้ทำสัญญาค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายที่ดินตามที่จำเลยที่ 1 ขอ โดยสัญญาว่า หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามสัญญาไม่ว่าด้วยประการใด ๆเป็นเหตุให้นายบุญถมได้รับความเสียหายแล้ว แต่จำเลยที่ 1 เพิกเฉยหรือไม่สามารถจัดการชำระโจทก์ยอมชำระค่าเสียหายแทนจำเลยที่ 1 ให้นายบุญถมเป็นเงินไม่เกิน 750,000 บาท ในวันเดียวกันนั้นเอง จำเลยที่ 2 และที่ 3ต่างได้ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้ต่อโจทก์ยินยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 ได้จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 28816 และ 28836เป็นประกันสัญญาค้ำประกันไว้ต่อโจทก์เป็นเงิน 140,000 บาท ต่อมาจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามสัญญาขายที่ดินที่ทำไว้กับนายบุญถม นายบุญถมทวงถามให้โจทก์ชำระเงิน 750,000 บาท โจทก์ได้ชำระให้นายบุญถมไปเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2511 เมื่อหักเงินจำนวน 500,000 บาท ที่จำเลยที่ 1วางไว้ต่อโจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 ยังคงเป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน 250,000 บาทโจทก์ได้ทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยแล้ว แต่จำเลยทั้งสามไม่ชำระทำให้โจทก์เสียหาย ต้องรับผิดค่าเสียหายอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 250,000 บาท นับแต่วันที่โจทก์ได้ชำระ ขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระค่าเสียหายให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่โจทก์ได้ชำระจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จ
ระหว่างพิจารณาโจทก์ได้ถอนฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2
จำเลยที่ 3 ให้การต่อสู้คดีหลายประการ และต่อสู้ด้วยว่า ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยก็ไม่เกิน 5 ปี
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ชำระเงินจำนวน250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่โจทก์จ่ายเงินไปจนกว่าจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จ
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 3 เสียดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีคิดถึงวันฟ้องแต่ไม่ให้เกิน 5 ปี
โจทก์และจำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อขายที่ดินกับนายบุญถม เป็นเหตุให้โจทก์ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้นายบุญถมตามสัญญาค้ำประกัน ฉะนั้นจำเลยที่ 3 ผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ชำระดอกเบี้ยสำหรับต้นเงิน 250,000 บาท ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 30สิงหาคม 2511 จนถึงวันฟ้องและต่อไปจนถึงวันที่จำเลยที่ 3 ชำระเงินเสร็จ เพราะเงินจำนวน 250,000 บาทดังกล่าวเป็นเงินที่จำเลยที่ 3 ผิดนัดไม่นำไปชำระให้โจทก์ตามหนังสือทวงถามของโจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายต้องใช้เงินให้นายบุญถมไป จำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดชดใช้ดอกเบี้ยสำหรับเงินจำนวนดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคแรก และดอกเบี้ยในกรณีเช่นนี้ไม่ใช่ดอกเบี้ยค้างส่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166 แต่เป็นดอกเบี้ยที่กำหนดแทนค่าเสียหายและไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความฟ้องเรียกค่าเสียหายในกรณีเช่นนี้ไว้โดยเฉพาะ ค่าเสียหายดังกล่าวจึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 3 รับผิดใช้ดอกเบี้ยในต้นเงิน 250,000บาท ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2511 จนกว่าจำเลยที่ 3 จะชำระให้โจทก์เสร็จ