คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15283/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในคดีนี้ยังคงมีผลผูกพันโจทก์และผู้คัดค้านอยู่ก็ตาม แต่เนื่องจากจำเลยที่ 1 ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด อำนาจในการจัดการกิจการและรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ย่อมตกอยู่แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียว ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 22 โจทก์จะมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก็แต่โดยปฏิบัติตามวิธีการที่กล่าวไว้ ใน พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 27, 91 และ 94 ข้อเท็จจริงได้ความว่าศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 เด็ดขาดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2556 ในคดีหมายเลขแดงที่ ล.606/2556 แม้คดีนี้เจ้าพนักงานบังคับคดีจะได้แจ้งอายัดเงินค่าจ้างแปรสภาพหัวมันสำปะหลังไปยังผู้คัดค้านไว้ก่อนแล้วก็ตาม แต่เมื่อผู้คัดค้านยังไม่ได้ส่งเงินตามที่อายัดแก่เจ้าพนักงานบังคับคดี ย่อมถือไม่ได้ว่าการบังคับคดีสำเร็จบริบูรณ์ก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ การบังคับคดีโดยการอายัดเงินดังกล่าวไม่อาจใช้ยันเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ได้ ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 110 การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอให้งดการพิจารณาและจำหน่ายคดีนี้ตามมาตรา 25 จึงเป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะได้ใช้อำนาจว่ากล่าวเอาความจากผู้คัดค้านต่อไปตามที่ พ.ร.บ.ล้มละลายฯ ให้อำนาจไว้ กรณีจึงไม่มีประโยชน์ที่ศาลฎีกาจะพิจารณาฎีกาของผู้คัดค้านอีกต่อไป

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 14,682,490 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยแบ่งผ่อนชำระเป็นรายงวดให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 30 ตุลาคม 2552 หากผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งถือว่าผิดนัดทั้งหมดและยินยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที แต่จำเลยทั้งสามไม่ชำระโจทก์จึงขอให้บังคับคดี ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการยึดอายัดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสาม ต่อมาวันที่ 19 พฤศจิกายน 2552 โจทก์ยื่นคำแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดจันทบุรี ขอให้อายัดสิทธิเรียกร้องเงินตามสัญญาจ้างแปรสภาพหัวมันสำปะหลังที่จำเลยที่ 1 มีสิทธิเรียกร้องจากผู้คัดค้าน เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งอนุญาตและแจ้งคำสั่งอายัดไปยังผู้คัดค้านแล้ว ผู้คัดค้านเพิกเฉยเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงมีหนังสือฉบับลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2553 ขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนและมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านปฏิบัติตามคำสั่งอายัด หรือมีคำสั่งให้ออกหมายบังคับคดีแก่ผู้คัดค้านเสมือนหนึ่งว่าเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 312
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านและแก้ไขคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านว่าจ้างจำเลยที่ 1 แปรสภาพหัวมันสำปะหลังสดเป็นแป้งมันสำปะหลังส่งมอบให้ผู้คัดค้าน โดยผู้คัดค้านจะจ่ายค่าจ้างและค่าขนส่งให้แก่จำเลยที่ 1 และผู้คัดค้านทำสัญญาฝากเก็บแป้งมันสำปะหลังไว้กับจำเลยที่ 1 จำนวน 13,305,357,917 กิโลกรัม (ที่ถูก 13,305,357.917 กิโลกรัม) ต่อมาเมื่อผู้คัดค้านขายและส่งมอบแป้งมันสำปะหลังให้แก่บริษัทเอเซีย ฟรุคโตส จำกัด จึงตรวจพบว่าแป้งมันสำปะหลังที่ฝากไว้กับจำเลยที่ 1 สูญหายไป 7,570,057.917 กิโลกรัม คิดเป็นค่าเสียหาย 103,796,144.17 บาท ผู้คัดค้านร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยที่ 1 และเรียกให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายดังกล่าว ผู้คัดค้านจึงระงับการจ่ายเงินค่าจ้างตามสัญญาจ้างแปรสภาพหัวมันสำปะหลังเพื่อนำมาหักชำระค่าเสียหายตามสัญญาฝากเก็บมันสำปะหลัง ต่อมาวันที่ 9 ธันวาคม 2554 ผู้คัดค้านมีหนังสือแจ้งขอหักกลบลบหนี้กับจำเลยที่ 1 และได้หักกลบลบหนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้คัดค้านจึงไม่อาจปฏิบัติตามคำสั่งอายัดของเจ้าพนักงานบังคับคดีได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านส่งเงินค่าจ้างของจำเลยที่ 1 จำนวน 16,193,981.95 บาท ซึ่งเป็นเงินส่วนหนึ่งของเงินค่าจ้างทั้งหมดที่จำเลยที่ 1 มีสิทธิได้รับจากผู้คัดค้านตามสัญญาจ้างแปรสภาพหัวมันสำปะหลังสดเป็นแป้งมันสำปะหลัง โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี 2551/52 เลขที่ มปล.(ปม.) อคส.จบ. 01/2551 ให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดจันทบุรี ตามคำสั่งอายัดภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2555 เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป (ที่ถูก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ)
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านฎีกา
ผู้คัดค้านยื่นคำแถลงว่า จำเลยที่ 1 ถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2556 ในคดีหมายเลขแดงที่ ล.606/2556 ศาลชั้นต้นนัดพร้อมเพื่อสอบถาม เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ยื่นคำแถลงว่า จำเลยที่ 1 ถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามคำแถลงของผู้คัดค้าน ขอให้จำหน่ายคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ และมีคำสั่งไม่รับฎีกาของผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของศาลชั้นต้น ศาลฎีกามีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นและให้รับฎีกาของผู้คัดค้าน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในคดีนี้ยังคงมีผลผูกพันโจทก์และผู้คัดค้านอยู่ก็ตาม แต่เนื่องจากจำเลยที่ 1 ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด อำนาจในการจัดการกิจการและรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ย่อมตกอยู่แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 22 โจทก์จะมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก็แต่โดยปฏิบัติตามวิธีการที่กล่าวไว้ ในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 27, 91 และ 94 ทั้งข้อเท็จจริงได้ความว่าศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 เด็ดขาดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2556 ในคดีหมายเลขแดงที่ ล.606/2556 แม้คดีนี้เจ้าพนักงานบังคับคดีจะได้แจ้งอายัดเงินค่าจ้างแปรสภาพหัวมันสำปะหลังไปยังผู้คัดค้านไว้ก่อนแล้วก็ตาม แต่เมื่อผู้คัดค้านยังไม่ได้ส่งเงินตามที่อายัดแก่เจ้าพนักงานบังคับคดี ย่อมถือไม่ได้ว่าการบังคับคดีสำเร็จบริบูรณ์ก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ การบังคับคดีโดยการอายัดเงินดังกล่าวไม่อาจใช้ยันเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ได้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 110 การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอให้งดการพิจารณาและจำหน่ายคดีนี้ตามมาตรา 25 จึงเป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะได้ใช้อำนาจว่ากล่าวเอาความจากผู้คัดค้านต่อไปตามที่พระราชบัญญัติล้มละลายฯให้อำนาจไว้ กรณีจึงไม่มีประโยชน์ที่ศาลฎีกาจะพิจารณาฎีกาของผู้คัดค้านอีกต่อไป
จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกา ผู้คัดค้านฎีกาโดยเสียค่าขึ้นศาลมา 200 บาท จึงไม่คืนให้ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากนี้ให้เป็นพับ

Share