แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ซึ่งเป็นบิดาผู้เยาว์มีข้อความว่า จำเลยยินยอมชดใช้เงินให้แก่โจทก์ โดยจะนำเงินมามอบให้ในวันที่ได้กำหนดไว้ หากถึงกำหนดวันนั้น จำเลยไม่ชำระ โจทก์จะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป แต่ถ้าจำเลยปฏิบัติตามข้อตกลง โจทก์ก็จะถอนคดีด้วยความเต็มใจ การที่จำเลยยินยอมชดใช้เงินให้แก่โจทก์ก็เพราะจำเลยประสงค์ให้โจทก์ถอนคดีในข้อหาพรากผู้เยาว์ที่ได้แจ้งความไว้ แต่ความผิดฐานพรากผู้เยาว์นี้เป็นความผิดที่ยอมความไม่ได้ ฉะนั้น ข้อตกลงดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ เพราะมีวัตถุประสงค์ที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน (อ้างฎีกาที่ 1181/2491)
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๐๙ จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นบุตรจำเลยที่ ๒ และเป็นหลานจำเลยที่ ๓ ได้พรากเด็กหญิงสุบิน โนนกองบุตรโจทก์อายุ ๑๔ ปีไปเสียจากโจทก์ผู้เป็นบิดาผู้ปกครอง เพื่อการอนาจารเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ครั้นต่อมาจำเลยทั้งสามได้ตกลงใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน ๕,๐๐๐ บาทภายในกำหนด ๑ เดือน แต่จำเลยไม่ชำระให้โจทก์ตามข้อตกลง จึงขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายให้โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า นางสาวสุบินอายุ ๑๘ ปี ได้ติดตามไปอยู่กับจำเลยที่ ๑ ด้วยความสมัครใจ โจทก์ไม่ใช่บิดาชอบด้วยกฎหมายของนางสาวสุบิน จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ทำสัญญารับรองความเสียหายให้แก่โจทก์จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ทำสัญญาให้โจทก์เพราะถูกผู้แสดงตนเป็นตำรวจขู่บังคับสัญญาดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยาน คู่ความท้ากันโดยขอให้ศาลวินิจฉัยเฉพาะเอกสารสัญญาว่าโจทก์มีสิทธิและอำนาจที่จะฟ้องเรียกเงินจากจำเลยหรือไม่หากศาลวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิและอำนาจฟ้องจำเลยได้ตามเอกสารสัญญาจำเลยยอมแพ้ยอมชำระเงินให้โจทก์ตามฟ้อง หากศาลวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิและอำนาจฟ้องจำเลย โจทก์ยอมแพ้ โจทก์จำเลยยอมสละประเด็นข้ออื่นทั้งหมดและทั้งสองฝ่ายไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ลงชื่อในเอกสารสัญญา โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๑ และสัญญามีเงื่อนไขว่า ถ้าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ชำระค่าสินสอดภายในวันที่ได้กำหนดไว้ โจทก์จะไม่ดำเนินคดีอาญากับจำเลย แต่ถ้าไม่ชำระ ก็จะดำเนินคดีอาญากับจำเลย ปรากฏว่าโจทก์ได้ดำเนินคดีอาญากับจำเลยแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามเอกสารสัญญา พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๒ พิมพ์ลายนิ้วมือเป็นผู้ให้สัญญาจำเลยที่ ๓ ลงชื่อเป็นพยาน ส่วนจำเลยที่ ๑ ไม่ปรากฏว่าได้ลงลายมือชื่อในสัญญาฉบับนี้ จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ หนังสือสัญญาดังกล่าวมีลักษณะเป็นสัญญาระงับข้อพิพาทซึ่งจำเลยที่ ๒ ได้พิมพ์ลายนิ้วมือเป็นผู้ยินยอมในสัญญา จำเลยที่ ๒ จึงต้องรับผิด พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า ให้จำเลยที่ ๒ ผู้เดียวใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์เอกสารสัญญา ซึ่งมีข้อความว่า นายอินทร์ได้ติดตามหานางสาวสุบินบุตรสาวซึ่งสงสัยว่าถูกหลอกลวงไปในทางทุจริตตามที่ได้แจ้งความไว้แล้วนั้น บัดนี้ พบนางสาวสุบินมาอยู่กับนายผ่องบุตรนางแหนะ ฯลฯ ได้ทำความตกลงกัน ฝ่ายมารดานายผ่องและนายโหรยพี่ชายยินยอมชดใช้เงินค่าสินสอดให้เป็นเงิน ๕,๐๐๐ บาท โดยเงินจำนวนนี้จะนำไปส่งให้ในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๐ นายอินทร์ยอมตกลง ถ้าฝ่ายนางแหนะและนายโหรยไม่ปฏิบัติตามที่บันทึกไว้ นายอินทร์จะนำคดีนี้จัดการฟ้องตามกฎหมายต่อไป ถ้าตกลงตามวันที่ดังกล่าว ฝ่ายนายอินทร์จะถอนคดีโดยเต็มใจ ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่านางแหนะ นายโหรยจำเลยยินยอมชดใช้เงินค่าสินสอดให้โจทก์ก็เพื่อให้โจทก์ถอนคดีที่ได้แจ้งความไว้ ข้อหาที่โจทก์แจ้งความไว้ตามเอกสารสัญญาประกอบกับที่โจทก์บรรยายไว้ในฟ้อง เป็นข้อหาฐานพรากผู้เยาว์ซึ่งเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ฉะนั้น ข้อตกลงให้เงินสินสอดดังกล่าวตกเป็นโมฆะ เพราะมีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๓ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์