คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1526/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้มาขอเช่าจะเช่าเพื่อดำเนินกิจการอะไรเป็นระยะเวลานานเท่าใดตึกพิพาทอยู่ในย่านที่มีความเจริญหรือไม่อีกทั้งมีผู้มาขอซื้อตึกพิพาทเมื่อใดนั้นเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์ต้องนำสืบให้ปรากฏในชั้นพิจารณาเมื่อโจทก์ได้บรรยายว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อขายตึกและที่ดินพิพาททำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยขาดประโยชน์ที่จะได้จากการให้เช่าเดือนละ30,000บาทและหากขายจะได้กำไร1,700,000บาทเพราะมีผู้มาขอเช่าและขอซื้อในจำนวนเงินดังกล่าวฟ้องโจทก์ย่อมเป็นฟ้องที่ได้บรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับอีกทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสองฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อขายตึกและที่ดินพิพาทแล้วโจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาได้โดยให้โอนตึกพร้อมที่ดินพิพาทให้โจทก์พร้อมกับเรียกค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับอีกด้วยเพราะโจทก์มิได้ฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาแต่เพียงอย่างเดียวแต่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายอย่างอื่นที่โจทก์ได้รับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา380วรรคสองอีกด้วย

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ขอให้ บังคับ จำเลย ดำเนินการ ก่อสร้าง ตึก พิพาทให้ แล้ว เสร็จ แล้ว จดทะเบียน โอน กรรมสิทธิ์ ตึก และ ที่ดินพิพาท ให้ แก่โจทก์ โดย ปลอด จำนอง หาก จำเลย ไม่ ดำเนินการ ก่อสร้าง ให้ แล้ว เสร็จก็ ให้ โจทก์ เข้า ไป ดำเนินการ ก่อสร้าง แทน โดย ให้ จำเลย เป็น ผู้ ออกค่าใช้จ่าย หาก จำเลย ไม่ ไถ่ถอน จำนอง และ ไม่ จดทะเบียน โอน กรรมสิทธิ์ให้ แก่ โจทก์ ก็ ให้ โจทก์ มีอำนาจ ทำการ ไถ่ถอน จำนอง แทน โดย นำ เงินค่า ตึก และ ที่ดินพิพาท ส่วน ที่ เหลือ จำนวน 2,100,000 บาท ไป ไถ่ถอน จำนองหาก เงิน ไม่พอ ให้ จำเลย รับผิด ใน ส่วน ที่ ขาด และ ให้ ถือเอา คำพิพากษาแทน การแสดง เจตนา ของ จำเลย ใน การ จดทะเบียน โอน กรรมสิทธิ์ ตึก และที่ดินพิพาท ให้ แก่ โจทก์ โดย ให้ จำเลย ชำระ ค่าธรรมเนียม ใน การ จดทะเบียนโอน กรรมสิทธิ์ กับ โจทก์ คน ละ ครึ่ง ให้ จำเลย ใช้ ค่าเสียหาย ตาม สัญญาจำนวน 400,000 บาท พร้อม ดอกเบี้ย ใน อัตรา ร้อยละ 7.5 ต่อ ปี นับ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2531 กับ ให้ ใช้ ค่าเสียหาย อีก เดือน ละ 30,000 บาทนับ ตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม 2531 แก่ โจทก์ หาก จำเลย ไม่สามารถโอน กรรมสิทธิ์ ตึก และ ที่ดินพิพาท ให้ แก่ โจทก์ ให้ จำเลย คืนเงิน มัดจำจำนวน 200,000 บาท กับ ใช้ ค่าเสียหาย จำนวน 1,700,000 บาท และค่าเสียหาย ตาม สัญญา จำนวน 400,000 บาท พร้อม ดอกเบี้ย ใน อัตรา ร้อยละ7.5 ต่อ ปี นับแต่ วันที่ 1 มกราคม 2531 เป็นต้น ไป จนกว่า จะ ชำระ เสร็จกับ ค่าเสียหาย เดือน ละ 30,000 บาท นับแต่ วันที่ 1 มกราคม 2531จน ถึง วันฟ้อง เป็น เงิน 705,000 บาท พร้อม ดอกเบี้ย ใน อัตรา ร้อยละ7.5 ต่อ ปี นับแต่ วันฟ้อง เป็นต้น ไป จนกว่า จะ ชำระ เสร็จ แก่ โจทก์
จำเลย ให้การ ว่า ขณะ ทำ สัญญาจะซื้อขาย ตาม ฟ้อง ตึก พิพาทสร้าง เสร็จ เรียบร้อย แล้ว และ เป็น การ ตกลง จะซื้อขาย ที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ตาม สภาพ ใน ขณะ นั้น โจทก์ เป็น ฝ่าย ผิดสัญญา จำเลย ได้บอกเลิก สัญญา แก่ โจทก์ และ ริบ เงินมัดจำ จำนวน 200,000 บาท ตึกแถวดังกล่าว หาก นำ ออก ให้ เช่า จะ ได้ ค่าเช่า ไม่เกิน เดือน ละ 10,000 บาทและ หาก นำ ออก ขาย พร้อม ที่ดิน จะขาย ได้ ใน ราคา ไม่เกิน 3,000,000 บาทฟ้องโจทก์ เคลือบคลุม ขอให้ ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษา ให้ จำเลย ทำการ ก่อสร้าง ตึก พิพาทเลขที่ 1089/3-4 แล้ว จดทะเบียน โอน พร้อม ที่ดิน ตาม โฉนด เลขที่ 132871,132870 โดย ปลอด จำนอง และ ให้ โจทก์ ชำระ เงิน 2,100,000 บาท แก่ จำเลยหาก จำเลย ไม่ ดำเนินการ ก่อสร้าง ให้ โจทก์ เข้า ไป ดำเนินการ แทน โดย ให้จำเลย เป็น ผู้ ออก ค่าใช้จ่าย และ หาก จำเลย ไม่ ไถ่ถอน จำนอง ให้ โจทก์ไถ่ถอน แทน โดย ให้ นำ เงิน ที่ ต้อง ชำระ แก่ จำเลย ไป ใช้ ไถ่ถอน หาก ยัง ไม่พอและ โจทก์ ต้อง ออก เงิน ค่าไถ่ ถอน เพิ่ม ไป อีก เท่าใด ให้ จำเลย รับผิด ชำระคืน แก่ โจทก์ หาก จำเลย ไม่ไป จดทะเบียน โอน ตึก และ ที่ดินพิพาท แก่ โจทก์ให้ ถือเอา คำพิพากษา ของ ศาล แทน การแสดง เจตนา ของ จำเลย ค่าธรรมเนียมใน การ โอน กรรมสิทธิ์ ให้ โจทก์ จำเลย ออก คน ละ ครึ่ง ให้ จำเลย ใช้ ค่าเสียหายจำนวน 400,000 บาท พร้อม ดอกเบี้ย ใน อัตรา ร้อยละ 7.5 ต่อ ปี นับแต่วันฟ้อง เป็นต้น ไป จนกว่า จะ ชำระ เสร็จ แก่ โจทก์ ใน กรณี ที่ จำเลย ไม่สามารถจดทะเบียน โอน กรรมสิทธิ์ ตึก และ ที่ดินพิพาท ให้ แก่ โจทก์ ได้ ก็ ให้จำเลย คืนเงิน มัดจำ จำนวน 200,000 บาท กับ ค่าเสียหาย อีก จำนวน1,700,000 บาท พร้อม ดอกเบี้ย ใน ยอดเงิน ทั้ง สอง จำนวน ดังกล่าวนับ จาก วันฟ้อง ไป จนกว่า จะ ชำระ เสร็จ แก่ โจทก์
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกา ตรวจ สำนวน ประชุม ปรึกษา แล้ว ประเด็น ที่ ต้อง วินิจฉัยตาม ฎีกา ของ จำเลย ประเด็น แรก มี ว่า ฟ้องโจทก์ เคลือบคลุม หรือไม่จำเลย ฎีกา ว่า ฟ้องโจทก์ บรรยาย ว่า มี ผู้ มา ขอ เช่า ตึก พิพาท จาก โจทก์ใน อัตรา เดือน ละ 30,000 บาท แต่ ไม่ บรรยาย ว่า เช่า เพื่อ ดำเนิน กิจการอะไร เป็น ระยะเวลา นาน เท่าใด ตึก พิพาท ตั้ง อยู่ ใน ย่าน ที่ มี ความเจริญหรือไม่ และ ฟ้องโจทก์ บรรยาย ว่า มี ผู้ มา ขอ ซื้อ ตึก พิพาท ใน ราคา4,000,000 บาท แต่ ไม่ บรรยาย ว่า มา ขอ ซื้อ เมื่อใด ทำให้ จำเลย ไม่อาจเข้าใจ ฟ้องโจทก์ ได้ อย่าง ชัดแจ้ง ฟ้องโจทก์ จึง เคลือบคลุม เห็นว่าผู้ มา ขอ เช่า จะ เช่า เพื่อ ดำเนิน กิจการ อะไร เป็น ระยะเวลา นาน เท่าใดตึก พิพาท อยู่ ใน ย่าน ที่ มี ความเจริญ หรือไม่ อีก ทั้ง มี ผู้ มา ขอ ซื้อตึก พิพาท เมื่อใด นั้น เป็น เพียง รายละเอียด ที่ โจทก์ ต้อง นำสืบ ให้ ปรากฏใน ชั้นพิจารณา หา จำต้อง กล่าว มา ใน ฟ้อง ไม่ เมื่อ ฟ้องโจทก์ ได้ บรรยาย ว่าจำเลย เป็น ฝ่าย ผิดสัญญา จะซื้อขาย ตึก และ ที่ดินพิพาท ทำให้ โจทก์ได้รับ ความเสียหาย โดย ขาด ประโยชน์ ที่ จะ ได้ จาก การ ให้ เช่า เดือน ละ30,000 บาท และ หาก ขาย จะ ได้ กำไร 1,700,000 บาท เพราะ มี ผู้ มา ขอ เช่าและ ขอ ซื้อ ใน จำนวนเงิน ดังกล่าว แล้ว ฟ้องโจทก์ ย่อม เป็น ฟ้อง ที่ ได้บรรยาย โดย แจ้งชัด ซึ่ง สภาพแห่งข้อหา และ คำขอบังคับ อีก ทั้ง ข้ออ้างที่อาศัย เป็น หลักแห่งข้อหา เช่นว่า นั้น ตาม ประมวล กฎหมาย วิธีพิจารณาความ แพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง แล้ว ฟ้องโจทก์ จึง ไม่ เคลือบคลุม
ประเด็น ข้อ สุดท้าย มี ว่า โจทก์ มีสิทธิ เรียก ค่าเสียหาย จาก จำเลยได้ เพียงใด จำเลย ฎีกา ว่า เมื่อ โจทก์ เป็น ฝ่าย ผิดสัญญา แล้ว จำเลยก็ มีสิทธิ ริบ มัดจำ ได้ และ ไม่ต้อง รับผิด ชดใช้ ค่าเสียหาย แก่ โจทก์แต่อย่างใด อีก ทั้ง เมื่อ โจทก์ ฟ้อง เรียก ให้ริบ เบี้ยปรับ จำนวน400,000 บาท แล้ว โจทก์ จะ ขอให้ โอน ตึก พิพาท และ เรียก ค่าเสียหายอีก ไม่ได้ และ ที่ โจทก์ เรียก ค่า ขาด กำไร จำนวน 1,700,000 บาท และค่าเช่า อีก เดือน ละ 30,000 บาท นั้น ก็ เป็น การ กล่าวอ้าง ลอย ๆเพราะ ตึก พิพาท ไม่ได้ อยู่ ใน ทำเลการค้า หรือ ธุรกิจ แต่อย่างใด เห็นว่าเมื่อ รับฟัง ได้ว่า จำเลย เป็น ฝ่าย ผิดสัญญา แล้ว โจทก์ ย่อม มีสิทธิ เรียกให้ จำเลย ปฏิบัติ ตาม สัญญา ได้ คือ ให้ โอน ตึก พร้อม ที่ดินพิพาท ให้ โจทก์พร้อม กับ เรียก ค่าเสียหาย ที่ โจทก์ ได้รับ อีก ด้วย เพราะ โจทก์ มิได้ ฟ้องให้ จำเลย ปฏิบัติการ ชำระหนี้ ตาม สัญญา แต่เพียง อย่างเดียว แต่ โจทก์ฟ้อง เรียก ค่าเสียหาย อย่างอื่น ที่ โจทก์ ได้รับ ตาม บทบัญญัติ ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 380 วรรคสอง อีก ด้วยโดย ค่าเสียหาย มี จำนวน เท่ากับ จำนวน 400,000 บาท ที่ ระบุ ไว้ ใน สัญญาและ ค่า ขาด กำไร กับ ค่าเช่า ที่ จะ ได้รับ อีก ด้วย ซึ่ง โจทก์ นำสืบ ว่านาง อาภา หล่อธีระพงษ์ ได้ มา ติดต่อ ขอ ซื้อ ตึก พิพาท พร้อม ที่ดิน ใน ราคา 4,000,000 บาท ซึ่ง จะ มี กำไร 1,700,000 บาท และ นาง อุไร เต็มพิทักษ์ ได้ มา ติดต่อ ขอ เช่า ตึก พิพาท โดย ให้ ค่าเช่า เดือน ละ 30,000 บาท นั้น มี น้ำหนัก รับฟัง ได้ เพราะ บุคคล ทั้ง สอง ต่าง ได้ มาเบิกความ เป็น พยาน ยืนยัน ดัง ที่ โจทก์ นำสืบ นั้น แม้ แต่ นาย สาย คะเนแน่น พยาน จำเลย เอง ก็ เบิกความ ว่า ตึก พิพาท อยู่ ใน ชุมชน ใหญ่ มี การค้า ขาย กัน ดี และ อยู่ ห่าง ศูนย์การค้า เซ็นทรัล สาขา วงศ์สว่าง ประมาณ 500 เมตร อีก ด้วย จึง ทำให้ ตึก พิพาท มี ราคา สูง และ ให้ เช่าใน ราคา สูง ดัง ที่ โจทก์ นำสืบ ได้ ที่ ศาลล่าง ทั้ง สอง พิพากษา ให้ จำเลยรับผิด ชดใช้ ค่าเสียหาย ให้ โจทก์ นั้น ชอบแล้ว ฎีกา ของ จำเลย ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share