แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การออกเช็คแลกเงินสดมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย อันจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 ซึ่งเป็นบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังที่จำเลยออกเช็คแลกเงินสดไปจากโจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดต่อไปจำเลยจึงพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคสอง
ย่อยาว
จำเลย ฎีกาคัดค้าน คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ลงวันที่ 6เดือนธันวาคม พุทธศักราช 2533
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันใดไม่ปรากฏชัด ต้นเดือนตุลาคม 2530 เวลากลางวัน จำเลยได้ออกเช็คของธนาคารกสิกรไทย สาขาเทเวศร์ 1 ฉบับ หมายเลขที่ 8912776 ลงวันที่8 ธันวาคม 2530 สั่งจ่ายเงินจำนวน 52,000 บาท มอบให้แก่นางสาวศรีวิลัย กุณโม ผู้เสียหาย เพื่อขอแลกเงินสด ต่อมาวันที่14 ธันวาคม 2530 เวลากลางวัน เมื่อมีการเรียกเก็บเงินตามเช็คดังกล่าว ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยให้เหตุผลว่า เงินในบัญชีไม่พอจ่ายทั้งนี้ จำเลยได้ออกเช็คดังกล่าวโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คและออกเช็คให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็ค เหตุเกิดที่แขวงคลองสาน เขตคลองสาน และแขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เกี่ยวพันกันขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2497 มาตรา 3 และให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีหมายเลขดำที่ ข.4925/2531 และ ช.576/2532 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา นางสาวศรีวิลัย กุณโม ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 จำคุก6 เดือน ที่ขอให้นับโทษต่อจากโทษในคดีหมายเลขดำที่ ช.4925/2531และ ช.576/2532 ของศาลชั้นต้น ไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วหรือไม่ จึงให้ยกเสีย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณาโจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบว่า เมื่อประมาณต้นเดือนตุลาคม 2530 จำเลยได้ออกเช็คของธนาคารกสิกรไทย สาขาเทเวศร์ 1 ฉบับ หมายเลขที่ 8912776 ลงวันที่ 8 ธันวาคม 2530 สั่งจ่ายเงินจำนวน52,000 บาท มอบให้แก่นางสาวศรีวิลัย กุณโมโจทก์ร่วมเพื่อแลกเงินสดกับโจทก์ร่วม ต่อมาวันที่ 14 ธันวาคม 2530 โจทก์ร่วมได้นำเช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชีของโจทก์ร่วมที่ธนาคารไทยทุน จำกัดสาขาบางโพ เพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็ค และในวันที่ 14ธันวาคม 2530 ธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่าเงินในบัญชีของจำเลยมีไม่พอจ่ายหลังจากนั้นโจทก์ร่วมได้ติดตามทวงถามแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย จึงร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจดำเนินคดีแก่จำเลย
จำเลยนำสืบว่า เมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม 2530 จำเลยไปกู้เงินจากนายสุพจน์ เพชรตระกูลชาติ จำนวน 10,000 บาท โดยนายสุพจน์ได้ให้จำเลยออกเช็คค้ำประกันการกู้เงินนี้ไว้ 2 ฉบับคือเช็คตามฟ้องนี้ฉบับหนึ่งและอีกฉบับหนึ่งเป็นเช็คธนาคารและสาขาเดียวกันสั่งจ่ายเงิน 51,000 บาท ลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2530และจำเลยต้องผ่อนชำระคืนเดือนละ 1,550 บาท รวม 12 เดือนหากผิดนัดงวดใดต้องเสียค่าปรับสัปดาห์ละ 300 บาท ซึ่งในวันที่กู้ยืมจำเลยได้ออกเช็คชำระหนี้รายเดือน เดือนละ 1,550 บาท ไว้ให้2 ฉบับ แล้วจำเลยผ่อนชำระไปเป็นเช็คได้ 7 งวด ก็ขาดผ่อนส่งไป2 งวด นายสุพจน์จึงแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยมาดำเนินคดีเป็นคดีนี้ ส่วนโจทก์ร่วมเป็นน้องภรรยานายสุพจน์ อยู่ในบ้านเดียวกัน ไม่ได้ประกอบอาชีพอะไรจำเลยไม่ได้แลกเงินสดไปจากโจทก์ร่วม
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่จะวินิจฉัยมีว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องโจทก์หรือไม่ นอกจากโจทก์ร่วมเบิกความเป็นพยานแล้วมีนายสุพจน์ เพชรตระกูลชาติ เบิกความเป็นพยานสนับสนุนว่า เมื่อประมาณต้นเดือนตุลาคม 2530 จำเลยมาหาโจทก์ร่วมที่บ้าน แจ้งว่ากำลังเดือดร้อนเรื่องเงิน ขอนำเช็คมาแลกเงินสดจากโจทก์ร่วมเป็นเงิน52,000 บาท เพื่อนำไปหมุนเกี่ยวกับการค้า โดยจำเลยเขียนเช็คต่อหน้าโจทก์ร่วมและนายสุพจน์ ลงวันที่ 8 ธันวาคม 2530จำนวนเงิน 52,000 บาท คือ เช็คพิพาทนี้และโจทก์ร่วมเบิกความต่อไปว่า จำเลยเคยนำเช็คมาแลกเงินสดไปจากโจทก์ร่วม 2-3 ครั้งทุกครั้งเรียกเก็บเงินตามเช็คได้ ก่อนเช็คพิพาทถึงกำหนดชำระประมาณ 5 วัน จำเลยโทรศัพท์แจ้งให้โจทก์ร่วมทราบว่ายังไม่มีเงินพอในบัญชี ให้เลื่อนไปเรียกเก็บเงินได้ในวันที่ 14 ธันวาคม 2530โจทก์ร่วมนำเช็คพิพาทไปเข้าบัญชีธนาคารไทยทนุ จำกัด สาขาบางโพ เพื่อเรียกเก็บเงิน เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2530 ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินให้เหตุผลว่า เงินในบัญชีไม่พอจ่ายตามเช็คและใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความตามฟ้องและทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมว่า จำเลยออกเช็คพิพาทแล้วขอแลกเงินสดไปจากโจทก์ร่วมการออกเช็คแลกเงินสดดังกล่าวก็มิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย อันจะเป็นความผิดได้ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 4 ซึ่งเป็นบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังที่จำเลยออกเช็คแลกเงินสด การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดต่อไป จำเลยจึงพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคสอง
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง