คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1523/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เจ้าของกิจการสถานค้าประเวณีรับตัวนางสมจิตรผู้เสียหายไว้แล้วบังคับให้ค้าประเวณี ครั้นนางสมจิตรไม่ยินยอมก็ถูกผลักเข้าไปในห้องที่มีชายรออยู่ เมื่อขัดขืนต่อไปอีกก็ถูกจำเลยที่ 1 ตบหน้า และบางครั้งเมื่อนางสมจิตรถูกชายดึงเข้าไปในห้องแล้ว จำเลยที่ 1 ก็ใส่กุญแจห้องข้างนอกและคอยเฝ้าอยู่ ทั้งยังตะโกนบอกชายที่มาเที่ยวว่าให้ตบตีได้ถ้านางสมจิตรไม่ยอม ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เช่นนี้เป็นการกระทำเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหาเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยใช้กำลังประทุษร้าย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 283 แล้ว แต่ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 282เพราะนางสมจิตรอายุเกิน 18 ปี และไม่เป็นความผิดตามมาตรา 284 เพราะเป็นการกระทำเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น มิใช่เพื่อสำเร็จความใคร่ของตนเองหรือผู้ร่วมกระทำความผิดกับตน
ส่วนการที่จำเลยที่ 1 รับตัวนางสาววรรณาผู้เสียหายอายุ 16 ปี ซึ่งถูกหลอกลวงมาไว้เป็นโสเภณีในสำนักของตน ก็ได้ชื่อว่าเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของชายที่มาเที่ยว และจำเลยที่ 1 ได้เป็นธุระจัดหาเพื่อการอนาจารซึ่งนางสาววรรณา อันเป็นความผิดสำเร็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องใช้อุบายหลอกลวงขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจประการอื่น ทั้งไม่จำเป็นต้องให้มีผู้อื่นมาสำเร็จความใคร่กับนางสาววรรณาเสียก่อน
สำหรับการที่จำเลยที่ 1 กระทำแก่นางสมจิตรผู้เสียหายโดยผลักเข้าไปในห้องที่มีชายรออยู่ ในเมื่อนางสมจิตรไม่ยินยอม และบางครั้งปิดประตูใส่กุญแจข้างนอก ขังนางสมจิตรไว้กับชายที่มาเที่ยวแล้วคอยเฝ้าอยู่ ย่อมเป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขังนางสมจิตรให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันใช้อุบายหลอกลวงพานางสมจิตร ศรีมานพหรือรูปหุ่น อายุ 21 ปี และนางสาววรรณา สายความสุข อายุ 16 ปี ไปเพื่อการอนาจาร และเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นได้มอบหญิงทั้งสองไว้กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการสถานการค้าประเวณี เพื่อให้ทำการค้าประเวณี จำเลยที่ 1 รับหญิงทั้งสองไว้เพื่อการนั้น ทั้งยังได้บังคับให้หญิงทั้งสองค้าประเวณีและหน่วงเหนี่ยวกักขังไว้ด้วย

อนึ่ง จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกิจการและเป็นผู้จัดการสถานการค้าประเวณีโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน

ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282, 283, 284, 310, 83, 91 และพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 9

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 282, 283, 284, 310, 83 และพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณีพ.ศ. 2503 มาตรา 9 ให้ลงโทษตามมาตรา 283 ซึ่งเป็นกระทงหนักตามมาตรา 91 ให้จำคุก 4 ปี จำเลยรับว่าเป็นเจ้าสำนักค้าประเวณีเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 ตามมาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี (คำนวณคลาดเคลื่อน) จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282, 83 จำคุกคนละ 2 ปี

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 9 ฐานเดียว จำคุก 6 เดือนลดโทษ 1 ใน 3 ตามมาตรา 78 คงจำคุก 4 เดือน จำเลยที่ 1 ต้องขังมาพอแก่โทษแล้วให้ปล่อยตัวไป

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการสถานการค้าประเวณี รับตัวนางสมจิตรผู้เสียหายไว้แล้วบังคับให้ทำการค้าประเวณี ครั้นนางสมจิตรไม่ยินยอม ก็ถูกผลักเข้าไปในห้องที่มีชายรออยู่ เมื่อขัดขืนต่อไปอีก ก็ถูกจำเลยที่ 1 ตบหน้าและบางครั้งเมื่อนางสมจิตรถูกชายดึงเข้าไปในห้องแล้ว จำเลยที่ 1 ก็ใส่กุญแจห้องข้างนอก และคอยเฝ้าอยู่ ทั้งยังตะโกนบอกชายที่มาเที่ยวว่าให้ตบตีได้ถ้านางสมจิตรไม่ยอม จึงวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เช่นนี้ เป็นการกระทำเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นเป็นธุระจัดหาเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยใช้กำลังประทุษร้าย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 แล้ว แต่ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 282 เพราะนางสมจิตรอายุเกิน 18 ปี และไม่เป็นความผิดตามมาตรา 284 เพราะเป็นการกระทำเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อตนเองหรือผู้ร่วมกระทำความผิดกับตน

และวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 1 รับตัวนางสาววรรณาผู้เสียหายอายุ 16 ปี ซึ่งถูกหลอกลวงมาไว้เป็นหญิงโสเภณีในสำนักของตนได้ชื่อว่าเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของชายที่มาเที่ยว และจำเลยที่ 1 ได้เป็นธุระจัดหาเพื่อการอนาจาร ซึ่งนางสาววรรณา อันเป็นความผิดสำเร็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 แล้ว โดยไม่จำต้องใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย หรือใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมประการใดอีก ทั้งไม่จำต้องมีผู้อื่นมาสำเร็จความใคร่กับนางสาววรรณาเสียก่อน การที่จำเลยที่ 1 ไม่ได้ใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจประการอื่น มีผลเพียงทำให้การกระทำของจำเลยที่ 1 ต่อนางสาววรรณาไม่เป็นความผิดตามมาตรา 284 เท่านั้น และแม้เมื่อนางสาววรรณาไม่ยินยอมจำเลยที่ 1 ได้ไล่ให้ไปเก็บชามล้างชามหลังบ้าน ไม่ได้ดำเนินการเช่นที่กระทำแก่นางสมจิตรผู้เสียหาย ก็ไม่ทำให้ความผิดตามมาตรา 282 ซึ่งสำเร็จแล้ว เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น

นอกจากนั้น การที่จำเลยที่ 1 กระทำแก่นางสมจิตรผู้เสียหายโดยผลักให้เข้าไปในห้องที่มีชายรออยู่ในเมื่อนางสมจิตรไม่ยินยอมและบางครั้งปิดประตูใส่กุญแจข้างนอกขังนางสมจิตรไว้กับชายที่มาเที่ยวแล้วคอยเฝ้าอยู่ ย่อมเป็นการหน่วงเหนี่ยวและกักขังนางสมจิตรให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย นับเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 แล้ว

พิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282, 283 และ 310 ด้วย แต่โดยที่ความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 เป็นกรรมหนึ่ง และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282, 283, 310 เป็นอีกกรรมหนึ่ง อันเป็นความผิดหลายบท สมควรลงโทษเฉพาะบางกระทงที่หนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 มีกำหนด 4 ปี มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงให้จำคุกมีกำหนด 2 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share