คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 152/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 3 นั่งอยู่ในโต๊ะเดียวกันกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ระหว่างที่มีการเจรจาซื้อขายเฮโรอีนกับเจ้าพนักงานตำรวจที่ไปล่อซื้อและในวันที่ถูกจับกุมจำเลยที่ 3 ก็เป็นคนขับรถมาให้จำเลยที่ 1 ไปยังที่นัดหมายเพื่อส่งมอบเฮโรอีน ถือได้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีนของกลางด้วยมิใช่เพียงแต่เป็นผู้สนับสนุนเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371, 83, 91พระราชบัญญัติ อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน (ฉบับที่ 44) ข้อ 3, 7 ลงวันที่ 21ตุลาคม 2519 ริบเฮโรอีนและคืนอาวุธปืนกระสุนปืนของกลางแก่เจ้าของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพส่วนจำเลยที่ 3 ให้การปฏิเสธศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 และ 66 วรรคสอง ความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีนเกินหนึ่งร้อยกรัมโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นความผิดกรรมเดียวและบทเดียวกันวางโทษประหารชีวิต จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ (ที่ถูก มาตรา 72 ทวิ วรรคสอง)ที่แก้ไขแล้ว และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทอีกกระทงหนึ่งวางโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 อันเป็นบทหนัก จำคุก 1 ปี จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนและมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเกินหนึ่งร้อยกรัมเหลือจำคุกตลอดชีวิต ความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวโดยไม่ได้รับอนุญาตเหลือจำคุก 6 เดือน แต่จำเลยที่ 2 ต้องโทษในความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเฮโรอีนเกินหนึ่งร้อยกรัมจำคุกตลอดชีวิตแล้ว จึงไม่อาจนำโทษความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวมารวมลงแก่จำเลยที่ 2 อีกได้ ริบเฮโรอีนของกลางคืนอาวุธปืนและกระสุนปืนแก่เจ้าของ จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์ขอให้ลดโทษส่วนจำเลยที่ 3 อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเป็นว่าจำเลยที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 66 วรรคสอง ประกอบกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86และมาตรา 53 จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 33 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว เห็นสมควรวินิจฉัยฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 3 ไปพร้อมกัน เกี่ยวกับการกระทำของจำเลยที่ 3 นั้น โจทก์มีจ่าสิบตำรวจเดชาเบิกความว่า ในวันที่ 17ตุลาคม 2530 สายลับได้พาจ่าสิบตำรวจเดชาไปพบจำเลยทั้งสามที่ร้านอาหารบริเวณขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ มีการเจรจาซื้อขายเฮโรอีนกัน โดยนั่งคุยอยู่โต๊ะเดียวกันจำเลยที่ 1 เสนอขายเฮโรอีนราคาตัวละ 120,000 บาท แต่จะบอกจำนวนที่จะขายในภายหลังและในวันที่ 18 ถึงวันที่ 20 เดือนเดียวกันจ่าสิบตำรวจเดชาก็ไปพบกับจำเลยทั้งสามที่โรงแรมมิตรภาพทุกวัน ในวันที่ 20 จำเลยที่ 1บอกว่าพรุ่งนี้ให้มาพบที่โรงแรมมิตรภาพเพราะมีเฮโรอีนจะขายให้ 5ตัวครึ่งในวันที่ 21 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยทั้งสามถูกจับกุมนั้น ก็ได้ความจากคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจเดชาและจ่าสิบตำรวจอำนวยนายอุดม ว่าจำเลยที่ 3 เป็นคนขับรถให้จำเลยที่ 1 ที่มาติดต่อส่งเฮโรอีนของกลางให้จ่าสิบตำรวจเดชา เห็นว่า ทั้งจ่าสิบตำรวจเดชาและจ่าสิบตำรวจอำนวยนั้นเป็นเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติการไปตามหน้าที่ ไม่มีเหตุที่จะเบิกความเพื่อกลั่นแกล้งจำเลยที่ 3เชื่อได้ว่าเบิกความไปตามที่รู้เห็นจริง ข้อนำสืบของจำเลยที่ 3ที่ว่าไม่เคยไปพบจ่าสิบตำรวจเดชาและในวันที่ถูกจับกุมก็ไม่ทราบเรื่องนั้น คงมีแต่คำของจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบิดาไม่มีพยานอื่นมาสนับสนุนพอที่จะฟังหักล้างคำของจ่าสิบตำรวจเดชาและจ่าสิบตำรวจอำนวยได้ เพราะไม่ปรากฏข้อเท็จจริงจากการนำสืบของจำเลยที่ 3 ว่าในวันที่ 17 ถึง 20 ตุลาคม 2530 นั้น จำเลยที่ 3อยู่ที่ไหนอย่างไร ข้อเท็จจริงที่ฟังได้ตามคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจเดชาที่ว่า จำเลยที่ 3 ได้ร่วมนั่งอยู่ด้วยในโต๊ะเดียวกันระหว่างที่มีการเจรจาซื้อขายเฮโรอีนกันก่อนที่จะมีการจับกุมและในวันถูกจับกุมจำเลยที่ 3 ก็เป็นคนขับรถมาให้จำเลยที่ 1ไปยังที่นัดหมายเพื่อส่งมอบเฮโรอีน เช่นนี้แสดงให้เห็นได้โดยชัดเจนว่าจำเลยที่ 3 ร่วมมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายเฮโรอีนของกลางด้วย จึงเป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง มิใช่เพียงแต่เป็นผู้สนับสนุนให้มีการกระทำผิดเท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยที่ 3 ฐานเป็นผู้สนับสนุนนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับจำเลยที่ 3 ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share