คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1514/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 กับพวกขับรถพาผู้เสียหายไปยังที่เปลี่ยวแล้วปลุกปล้ำจับหน้าอกและถอดเสื้อกางเกงผู้เสียหาย พอดีมีรถยนต์บรรทุกผ่านมาจำเลยที่ 1 จึงขับรถพาผู้เสียหายไปยังบ่อเลี้ยงปลาและดึงตัวผู้เสียหายลงมาจากรถจำเลยที่ 1 กอดจูบผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 กระชากกางเกงของผู้เสียหายออกผู้เสียหายดิ้นหลุดแล้วกระโดดลงไปในบ่อเลี้ยงปลา จำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพวกพูดข่มขู่ว่าถ้าไม่ขึ้นมาจะตามลงไปกดให้ตายบ้าง จะเอาไฟฟ้าช็อตบ้าง ทั้งมีพวกจำเลยบางคนถอดเสื้อกางเกงออกหมด บางคนเหลือแต่กางเกงในเป็นเหตุให้ผู้เสียหายไม่กล้าขึ้นต้องทนทรมานอยู่ในบ่อถึง 1 ชั่วโมงเศษ และที่ผู้เสียหายขึ้นจากบ่อก็เพราะถูกหลอกว่าพวกจำเลยไปหมดแล้ว ผู้เสียหายจึงขึ้นมาแล้วถูกจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพวกจับตัวข่มขืนกระทำชำเรา การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารและฐานหน่วงเหนี่ยวผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพ การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 หน่วงเหนี่ยวผู้เสียหายไว้ก็เพื่อมุ่งประสงค์ที่จะเอาตัวผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งเป็นความประสงค์มาตั้งแต่แรกแล้ว การกระทำดังกล่าวจึงต่อเนื่องกันตลอดมาโดยไม่ขาดตอน การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท แม้จะได้ความว่า ผู้เสียหายออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น แต่มารดาก็ยังให้สร้อยทองคำ ถือได้ว่ามารดายังอุปการะเลี้ยงดูผู้เสียหายอยู่การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 พาผู้เสียหายไปกระทำอนาจารโดยผู้เสียหายไม่ยินยอมถือได้ว่าเป็นการล่วงอำนาจปกครองของบิดามารดาจึงเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 284, 310, 318, 83, 91 จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 284, 310, 318, 83 ลงโทษฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารจำคุกคนละ 2 ปี ฐานหน่วงเหนี่ยวผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพ จำคุกคนละ 1 ปี ฐานพรากผู้เยาว์ จำคุกคนละ 3 ปี รวมจำคุกคนละ 6 ปีจำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสามฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังยุติว่า วันเวลาเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้พาผู้เสียหายจากสถานเต้นรำชื่อเพลินพาเหรดซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร ไปที่อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร ฐานหน่วงเหนี่ยวผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพและฐานพรากผู้เยาว์หรือไม่ปัญหาประการแรกโจทก์มีผู้เสียหายเบิกความว่า วันเวลาเกิดเหตุได้พบจำเลยที่ 1 กับพวกอีกรวม 8-9 คน บนสถานเต้นรำชื่อเพลินพาเหรดครั้นเวลาประมาณ 00.30 นาฬิกา ผู้เสียหายจะกลับที่พักลงมาที่ลานจอดรถยนต์พบจำเลยที่ 1 กับพวก จำเลยที่ 1รับอาสาจะพาผู้เสียหายไปส่งโรงแรมโอฆะ ผู้เสียหายตกลงจึงขึ้นรถยนต์ปิกอัพข้างหน้าคู่กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคนขับ ส่วนพวกของจำเลยที่ 1 ขึ้นนั่งข้างหลัง จำเลยที่ 1 ไม่ได้พากลับที่พัก แต่ขับรถพาไปยังที่เปลี่ยวแห่งหนึ่ง จำเลยที่ 1 ชวนผู้เสียหายไปเที่ยวต่อ ผู้เสียหายไม่ยอมไปและขอให้จำเลยที่ 1 พากลับโรงแรม จำเลยที่ 1 กับนายเก๋จึงเข้าปลุกปล้ำจับหน้าอกและถอดเสื้อกับกางเกงของผู้เสียหายผู้เสียหายดิ้นรน จำเลยที่ 1 ทุบขา พอดีมีรถยนต์บรรทุก 10 ล้อ ผ่านมาจำเลยที่ 1 กับนายเก๋และนายชายจึงช่วยกันลากผู้เสียหายขึ้นรถแล้วจำเลยที่ 1 ขับรถพาผู้เสียหายไปยังบ่อเลี้ยงปลา เมื่อไปถึงจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 กับพวกลงจากรถ และดึงตัวผู้เสียหายลงมาด้วย จำเลยที่ 1 กอดจูบผู้เสียหายขณะนั้นเสื้อคลุมของผู้เสียหายถูกถอดออกแล้ว จำเลยที่ 2 กระชากกางเกงของผู้เสียหายออกเหลือแต่กางเกงใน ผู้เสียหายดิ้นหลุด แล้วกระโดดหนีลงไปในบ่อเลี้ยงปลา จำเลยที่ 1 กับพวกพูดข่มขู่ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เสียหายขึ้นจากบ่อผู้เสียหายหลบอยู่ในบ่อนานประมาณ 1 ชั่วโมงมีหญิงคนหนึ่งมาร้องเรียกผู้เสียหายให้ขึ้นจากบ่ออ้างว่าพวกจำเลยที่ 1 ไปหมดแล้ว พอผู้เสียหายขึ้นมาที่ปากบ่อ จำเลยที่ 1 กับพวกก็กรูกันเข้าจับตัวผู้เสียหาย ผู้เสียหายกระโดดหนีลงไปในบ่อเลี้ยงปลาอีก พวกของจำเลยที่ 1 กระโดดตามลงไปกระชากผมของผู้เสียหายลากขึ้นจากบ่อ แล้วช่วยกันแบกผู้เสียหายไปวางบนเสื่อในเพิงซึ่งอยู่ข้าง ๆ บ่อเลี้ยงปลา จำเลยที่ 2 เข้าจับแขนซ้ายนายชายจับแขนขวา นายบอยกับนายพันจับขาของผู้เสียหายไว้ จำเลยที่ 1 ใช้อวัยวะเพศสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายชักเข้าชักออกนานประมาณ 3 นาที จำเลยที่ 1 ก็ชักออกปล่อยน้ำอสุจิออกข้างนอกอวัยวะเพศของผู้เสียหาย ต่อมาจำเลยที่ 2และนายโอเข้ามาข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายตามลำดับ ผู้เสียหายดิ้นรนก็ถูกต่อยท้องและทุบขาจนหมดสติไป เห็นว่าแม้โจทก์จะมีประจักษ์พยานคือตัวผู้เสียหายปากเดียวเป็นพยาน แต่ผู้เสียหายก็เบิกความโดยละเอียดตั้งแต่ต้นจนกระทั่งหลบหนีออกไปแจ้งความต่อร้อยตำรวจโทดาวฤกษ์ อยู่สวัสดิ์ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร ผู้เสียหายไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 1 ที่ 2มาก่อนไม่มีข้อระแวงว่าจะแกล้งกล่าวหาจำเลยที่ 1 ที่ 2จำเลยที่ 1 ที่ 2 ก็เบิกความรับว่าได้พาผู้เสียหายไปจริง แต่ปฏิเสธว่าผู้เสียหายติดตามไปเองได้ความจากร้อยตำรวจโทดาวฤกษ์ พนักงานสอบสวนว่า หลังจากที่ได้รับแจ้งความจากผู้เสียหายแล้วได้ออกไปตรวจสถานที่เกิดเหตุถึง 3 แห่ง แห่งแรกคือที่บ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูงในบริเวณบ่อเลี้ยงปลาพบถุงเท้าสีแดง 1 ข้างและกางเกงในผู้หญิงสีแดง 1 ตัว ตกอยู่ที่ปลายเตียงในห้อง แห่งที่ 2 ได้ไปตรวจบริเวณหน้าสนามเด็กเล่นสถานีรถไฟตะพานหิน จังหวัดพิจิตร พบเสื้อกล้ามผู้หญิงสีแดง 1 ตัว เสื้อยกทรงสีขาว 1 ตัว กางเกงขาวขายาวผู้หญิง 1 ตัว และเสื้อแขนยาวสีขาว 1 ตัว ตรวจค้นแห่งสุดท้ายที่โรงแรมโรสอินน์ห้อง 502 อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตรพบเข็มขัดเส้นใหญ่สีแดงหัวทองเหลือง 1 อัน แว่นตากันแดด 1 อันกำไลข้อเท้ามีลูกกระพรวน 1 อัน ตุ้มหู 1 คู่ และรองเท้าคัทชูสีดำคาดขาว 1 คู่ ร้อยตำรวจโทดาวฤกษ์ยึดไว้เป็นของกลางตามบัญชีของกลางคดีอาญา เอกสารหมาย จ.7 ของกลางเหล่านั้นผู้เสียหายได้รับคืนไปแล้วโดยจำเลยทั้งสามไม่ได้นำสืบหักล้างว่าไม่ใช่ของผู้เสียหาย การที่ร้อยตำรวจโทดาวฤกษ์ไปตรวจค้นพบหลักฐานตามสถานที่ต่าง ๆ เป็นเครื่องแสดงว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้พาผู้เสียหายไปตามสถานที่เหล่านั้นและได้ร่วมกันปลุกปล้ำถอดเสื้อและกางเกงของผู้เสียหายออกโดยผู้เสียหายไม่ยินยอม ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาว่าผู้เสียหายติดตามไปเองจึงไม่มีเหตุผลและน้ำหนักน่าเชื่อถือพยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาประการต่อไป จำเลยทั้งสามกระทำความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพหรือไม่ ได้ความจากผู้เสียหายว่าเมื่อผู้เสียหายกระโดดลงไปในบ่อเลี้ยงปลาแล้ว จำเลยที่ 1 ที่ 2กับพวกพูดข่มขู่ว่าถ้าไม่ขึ้นมาจะตามลงไปกดให้ตายบ้าง จะเอาไฟฟ้าช็อตบ้าง ทั้งมีพวกจำเลยบางคนถอดเสื้อกางเกงออกหมด บางคนเหลือแต่กางเกงในเป็นเหตุให้ผู้เสียหายไม่กล้าขึ้นจากบ่อเลี้ยงปลาต้องทนทรมานอยู่ในบ่อถึง 1 ชั่วโมงเศษและที่ผู้เสียหายขึ้นจากบ่อก็เพราะถูกจำเลยที่ 1 กับพวกหลอกว่าพวกจำเลยไปหมดแล้วผู้เสียหายจึงขึ้นมาแล้วถูกจับตัวไว้ การกระทำของจำเลยที่ 1ที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพฎีกาจำเลยที่ 1 ที่ 2 ฟังไม่ขึ้น ปัญหาต่อไปมีว่าการกระทำของจำเลยที่ร่วมกันพาหญิงไปเพื่อการอนาจารและร่วมกันหน่วงเหนี่ยวผู้เสียหายให้ปราศจากเสรีภาพเป็นความผิดต่างกรรมกัน ดังที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมาหรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าการที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 หน่วงเหนี่ยวผู้เสียหายไว้ก็เพื่อมุ่งประสงค์ที่จะเอาตัวผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งเป็นความประสงค์มาตั้งแต่แรกแล้ว การกระทำดังกล่าวจึงต่อเนื่องกันตลอดมาโดยไม่ขาดตอน การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารกระทงหนึ่ง และความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพอีกกระทงหนึ่งนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
ปัญหาประการสุดท้าย จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์หรือไม่ จำเลยทั้งสองฎีกาว่าขณะเกิดเหตุผู้เสียหายไม่ได้อาศัยอยู่กับบิดามารดาของผู้เสียหาย ได้ออกไปจากความปกครองดูแลของบิดามารดาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดตามข้อหานี้เทียบได้กับคำพิพากษาฎีกาที่ 2155/2514 นั้น ข้อเท็จจริงในคำพิพากษาฎีกาดังกล่าวไม่เหมือนกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ แม้จะได้ความว่าผู้เสียหายออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น แต่มารดาก็ยังให้สร้อยทองคำ ถือได้ว่ามารดายังอุปการะเลี้ยงดูผู้เสียหายอยู่การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 พาผู้เสียหายไปกระทำอนาจารโดยผู้เสียหายไม่ยินยอมถือได้ว่าเป็นการล่วงอำนาจปกครองของบิดามารดา จึงเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าจำเลยที่ 1ที่ 2 สำคัญผิดว่าผู้เสียหายมีอายุเกินกว่า 18 ปี นั้นเห็นว่าปัญหาข้อนี้จำเลยมิได้นำสืบข้อเท็จจริงให้เห็นเป็นเช่นนั้น ฎีกาจำเลยที่ 1 ที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
สำหรับจำเลยที่ 3 นั้น ผู้เสียหายไม่ได้เบิกความถึงว่าเป็นผู้ทำอะไรและอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยหรือไม่ เพราะผู้เสียหายไม่เคยเห็นหน้าและรู้จักมาก่อน จำเลยที่ 3 จะมีชื่ออื่นด้วยหรือไม่ก็ไม่ปรากฏแม้ผู้เสียหายจะเบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยที่ 3 ว่าจำเลยที่ 3 ข่มขืนกระทำชำเราด้วย แต่ผู้เสียหายก็ตอบพนักงานอัยการโจทก์ว่าผู้ที่ข่มขืนกระทำชำเราครั้งแรกคือจำเลยที่ 1 ต่อมานายเก๋คนถัดมาคือนายโอ หลังจากนั้นก็หมดสติไป พยานหลักฐานโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 ชื่อนายเก๋หรือนายโอ จำเลยที่ 3 ก็เบิกความว่าตนไม่ได้ร่วมไปเที่ยวสถานเต้นรำเพลินพาเหรดกับจำเลยที่ 1 และพวกด้วย ดังนั้นคำเบิกความของผู้เสียหายจึงไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาจำเลยที่ 3ฟังขึ้น อนึ่ง ศาลฎีกาเห็นว่าที่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1ที่ 2 โดยไม่ระบุวรรคนั้นไม่ถูกต้อง สมควรที่จะแก้ไขเสียให้ถูกต้องและคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ สมควรลดโทษให้ด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 วรรคแรก, 310 วรรคแรก การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 กรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 284 วรรคแรก ที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุกคนละ 2 ปี มาตรา 318 วรรคสาม จำคุกคนละ 3 ปีรวมโทษจำคุกคนละ 5 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไว้คนละ 3 ปี 4 เดือนให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share