แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยว่าจ้างโจทก์พิมพ์ ส.ค.ส. ตกลงกันว่าถ้าโจทก์ส่งมอบส.ค.ส. ล่าช้ากว่ากำหนด ยอมให้จำเลยปรับร้อยละ 20 ของราคาสินค้าแต่ปรากฏว่าขณะที่จำเลยรับ ส.ค.ส.จำเลยไม่ได้บอกกล่าวสงวนสิทธิที่จะเรียกค่าปรับจากโจทก์ไว้ จำเลยจึงหมดสิทธิที่จะเรียกเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381วรรคท้าย.(ที่มา-เนติ)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระสินจ้างค่าพิมพ์ ส.ค.ส. บางส่วนที่ค้างชำระพร้อมด้วยดอกเบี้ย จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ไม่ส่งมอบ ส.ค.ส. ภายในกำหนด ทำให้จำเลยเสียหาย จำเลยมีสิทธิได้ค่าปรับจากโจทก์ตามข้อตกลง ขอให้ยกฟ้องโจทก์และให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยโจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ได้พิมพ์ ส.ค.ส. ตามคำสั่งจำเลยแล้วทั้งไม่ได้ส่งมอบ ส.ค.ส. ให้ล่าช้า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน จำนวน 114,331 บาท 94 สตางค์ พร้อมดอกเบี้ย และให้ยกฟ้องแย้ง จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘คดีคงมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาตามที่จำเลยฎีกาเพียงว่าโจทก์และจำเลยตกลงขายสินค้าตามฟ้องข้อ2.1 และ 2.3 ร่วมกันส่วนสินค้าข้อ 2.2 เป็นการฝากจำเลยขายแล้วจะมาคำนวณค่าเสียหายกันใหม่อีกครั้งตามเอกสารหมายล.10 และจำเลยมีสิทธิหักค่าปรับร้อยละ 20 ของราคาสินค้าหรือไม่ ฝ่ายจำเลยนำสืบว่า นายปฐมตัวแทนโจทก์มาพบจำเลยได้ประชุมสรุปผลเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะการส่ง ส.ค.ส.ล่าช้ากว่าที่กำหนด ในที่สุดตกลงกันว่าให้โจทก์และจำเลยช่ยกันจำหน่าย ส.ค.ส. เมื่อจำหน่ายหมดแล้วจำเลยจะพิจารณาคืนค่าปรับให้ นางสาวพริ้มเพรา ลูกจ้างจำเลยได้ทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าวไว้ในเอกสารหมาย ล.10 และได้ทำเอกสารหมาย จ.1 ระบุยอดเงินจำนวน 114,331 บาท 94 สตางค์ที่จะต้องจ่ายคืนให้แก่โจทก์ไว้ โดยได้บันทึกไว้ว่าจะจ่ายคืนเมื่อใดจะแจ้งให้ทราบภายหลัง ฝ่ายโจทก์นำสืบว่าได้พูดตกลงให้เวลาแก่จำเลยจำหน่าย ส.ค.ส. ส่วนเงินที่ค้างชำระจำเลยได้ทำเอกสารหมาย จ.1 ให้แก่โจทก์แล้ว พิเคราะห์เอกสารหมาย ล.10 แล้วเห็นว่าเป็นเอกสารที่ฝ่ายจำเลยทำขึ้นโดยไม่มีลายมือชื่อนายปฐมตัวแทนโจทก์รับรองไว้ ที่จำเลยอ้างว่าฝ่ายโจทก์ได้ตกลงยินยอมตามบันทึกเอกสารหมาย ล.10 จึงไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อ เพราะหากมีการตกลงกันดังที่จำเลยกล่าวอ้างก็เชื่อได้ว่าจำเลยจะต้องให้นายปฐมลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐานสำคัญเพื่อใช้ยันกันถ้ามีการโต้แย้งเกิดขึ้นในภายหน้าการที่จำเลยทำเอกสาร จ.1 ให้โจทก์ไว้นั้น กลับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยยอมรับยังเป็นหนี้โจทก์ตามที่ปรากฏในเอกสารหมาย จ.1 จริง สำหรับปัญหาต่อไปที่ว่าจำเลยมีสิทธิหักค่าปรับหรือไม่นั้น เมื่อข้อเท็จจริงในทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าในขณะที่จำเลยรับ ส.ค.ส. ที่พิพาทกันคดีนี้ทั้งหมดจำเลยได้บอกกล่าวสงวนสิทธิที่จะเรียกค่าปรับแก่โจทก์ไว้ ดังนั้นแม้จะมีข้อตกลงให้เรียกเบี้ยปรับกัน จำเลยก็หมดสิทธิที่จะเรียกเบี้ยปรับตามมาตรา 381วรรคท้ายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีนี้ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 600 บาท แทนโจทก์’.