แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งไม่ได้อุทธรณ์ ไม่มีความผิดดังฟ้อง โดยลักษณะคดีศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิพากษาให้เป็นคุณรวมไปถึงจำเลยที่ไม่ได้อุทธรณ์ด้วยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 213 (อ้างฎีกาที่ 1370/2503)
จำเลยเข้าไปขอซื้อสบู่ในร้านผู้เสียหาย 1 ก้อน ราคา 3 บาท จำเลยส่งธนบัตรใบละ 100 บาทให้ ผู้เสียหายทอนให้ 97 บาท ต่อมาจำเลยพูดว่าไม่ต้องการสบู่ขอเงินคืน พร้อมกับส่งสบู่และเงินทอนให้ผู้เสียหาย ผู้เสียหายรับเงินทอนโดยไม่นับดู แล้วคืนธนบัตร 100 บาทให้จำเลย จำเลยรับแล้วก็รีบออกจากร้านไป ดังนี้ เจตนาของจำเลยก็เพื่อต้องการเงินจำนวนหนึ่งจากเจ้าทรัพย์ โดยใช้อุบายทำทีว่าจะซื้อสบู่ ด้วยการชำระเงินด้วยธนบัตรใบละ 100 บาท เพื่อเจ้าทรัพย์จะได้ทอนเงินปลีกให้เมื่อได้เงินทอนแล้วก็กลับบอกเลิกไม่ซื้อสบู่ และขอธนบัตรใบละ 100 บาทคืน โดยมอบเงินทอนให้แก่เจ้าทรัพย์ แต่ฉวยโอกาสทำการทุจริตยักเอาเงินไว้เสีย 50 บาท โดยแกล้งทำเป็นซื้อสบู่เป็นฉากบังหน้าอันเป็นเท็จ เพื่อหลอกลวงให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินคือเงินส่วนหนึ่งที่เจ้าทรัพย์ทอนให้ เพราะหลงเชื่อในการหลอกลวงนั้น การกระทำของจำเลยเป็นผิดฐานฉ้อโกง
เมื่อความผิดของจำเลยที่ได้ความตามทางพิจารณาเป็นฐานฉ้อโกง โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานลักทรัพย์ ไม่ประสงค์ให้ลงโทษฐานฉ้อโกง ศาลจะลงโทษจำเลยหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก ๑ คนสมคบร่วมกันเป็นคนร้ายลักธนบัตร ๕๐ บาทของนางเซียมเอง แซ่เซียว ไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๕(๗),๙๒ กับให้คืนเงิน ๕๐ บาทแก่เจ้าทรัพย์
จำเลยทุกคนปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเลยที่ ๑ มีความผิดฐานลักทรัพย์ ส่วนจำเลยอื่นอีก ๓ คน ยังไม่พอฟังว่าได้ร่วมกระทำผิด พิพากษาว่านางสะเลาะจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๔ ให้จำคุกไว้ ๑ ปี กับใช้เงิน ๕๐ บาทแก่เจ้าทรัพย์ ยกฟ้องโจท์กปล่อยตัวจำเลยอื่น
โจทก์อุทธรณ์ ขอให้ลงโทษจำเลยอีก ๓ คนฐานเป็นผู้ร่วมสบคบกระทำผิดกับจำเลยที่ ๑ ด้วย
นางสะเลาะจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ ว่าไม่ควรมีผิด แต่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย เพราะยื่นเมื่อขาดอายุความอุทธรณ์แล้ว
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีโจทก์เป็นที่น่าสงสัยไม่พอฟังลงโทษจำเลยที่ ๑ และแม้จะฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอาญาเชื่อมา การกระทำนั้นก็ไม่ใช่ความผิดฐานลักทรัพย์ แต่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับฟ้อง จะลงโทษจำเลยไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๙๒ วรรคสอง ที่แก้ไขใหม่ และเมื่อเป็นเหตุในลักษณะคดีเช่นนี้ ย่อมมีผลถึงนางสะเลาะ จำเลยที่ ๑ ด้วย พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ปล่อยจำเลยทุกคนพ้นข้อหา และยกคำขอที่ให้คืนเงินแก่เจ้าทรัพย์
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ดังคำพิพากษาศาลอาญา
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ไม่ได้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ควรมีความผิดดังฟ้องโดยลักษณะคดีนั้น ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษาให้เป็นคุณประโยชน์รวมไปถึงจำเลยที่ไม่ได้อุทธรณ์ด้วยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒๑๓ และคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๓๗๐/๒๕๐๓
ส่วนข้อเท็จจริง ศาลฎีกาเชื่อตามที่ศาลชั้นต้นฟังมา ซึ่งได้ความว่า จำเลยที่ ๑ ได้เข้าไปขอซื้อสบู่ในร้านผู้เสียหาย ๑ ก้อน ผู้เสียหายบอกราคา ๓ บาท จำเลยที่ ๑ ส่งธนบัตรใบละ ๑๐๐ บาทให้เป็นค่าสบู่ ผู้เสียหายทอนให้ ๙๗ บาท จำเลยที่ ๑ นับเงินทอนแล้วบอกว่าไม่ถูกเพราะสบู่ราคาก้อนละ ๒.๕๐ บาท ผู้เสียหายว่าขายราคานั้นไม่ได้ จำเลยที่ ๑ จึงว่า อย่างนั้นก็ไม่เอา แล้วส่งเงินที่ทอน ๙๗ บาทให้แก่ผู้เสียหาย ผู้เสียหายคืนธนบัตรฉบับละ ๑๐๐ บาทให้ไป สักครู่หนึ่งจำเลยก็ตกลงจะซื้อสบู่ราคา ๓ บาทอีก ผู้เสียหายจึงหยิบสบู่ให้ใหม่ แต่จำเลยที่ ๑ ยังไม่ให้เงินทันที ได้เดินดูสินค้าอย่างอื่นในร้าน ในที่สุดก็ไม่ซื้อของอื่น จำเลยที่ ๑ ส่งธนบัตรใบละ ๑๐๐ บาทใหผู้เสียหาย แล้วรับเงินทอนมา ๙๗ บาท ระหว่างนั้นมีผู้มาถามซื้อของในร้าน ต่อมาจำเลยที่ ๑ พูดว่าไม่ต้องการสบู่แล้วขอเงินคืน พร้อมด้วยส่งสบู่และเงินทอนให้แก่ผู้เสียหาย ผู้เสียหายรับเงินทอนโดยไม่ได้นับดู แล้วคืนธนบัตรฉบับ ๑๐๐ บาท ให้แก่จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ รับแล้วก็รีบออกจากร้านไป ต่อมามีคนร้านใกล้เคียงกันทราบเรื่อง จึงแนะนำให้ผู้เสียหายนับเงินทอนดู ก็ปรากฏว่าเงินทอนขาดไป ๕๐ บาท
ศาลฎีกาเห็นว่า เจตนาอันแท้จริงของนางสะเลาะจำเลยที่ ๑ ก็เพื่อต้องการเงินจำนวนหนึ่งจากเจ้าทรัพย์ โดยใช้อุบายทำทีว่าจะซื้อสบู่ด้วยการชำระเงินด้วยธนบัตรใบละ ๑๐๐ บาท เพื่อเจ้าทรัพย์จะได้ทอนเงินปลีกให้เป็นสำคัญ เมื่อได้เงินทอนมาแล้วก็กลับบอกเลิกไม่ซื้อสบู่และขอธนบัตรใบละ ๑๐๐ บาทคืน โดยมอบเงินทอนให้แก่เจ้าทรัพย์ แต่ได้ฉวยโอกาสทำการทุจริตยักเอาเงินทอนไว้เสีย ๕๐ บาท คงคืนให้แก่เจ้าทรัพย์ไปเพียง ๔๗ บาท ทั้งนี้ โดยการแกล้งทำซื้อสบูเป็นฉากบังหน้าอันเป็นเท็จ เพื่อหลอกลวงให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินคือเงินส่วนหนึ่งที่เจ้าทรัพย์ทอนให้เพราะหลงเชื่อในการหลอกลวงนั้น การกระทำของนางสะเลาะจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๑ หาใช่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ไม่ เพราะการที่เจ้าทรัพย์ทอนเงินให้แก่นางสะเลาะจำเลยก็โดยที่นางสะเลาะจำเลยใช้อุบายหลอกลวงให้ได้มาซึ่งเงินทอนนั้น เป็นประการสำคัญแห่งเจตนาตน
เมื่อความผิดของจำเลยที่ ๑ ที่ได้ความตามทางพิจารณาเป็นฐานฉ้อโกง แต่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานลักทรัพย์ ไม่ประสงค์ให้ลงโทษฐานฉ้อโกง ศาลจะลงโทษจำเลยที่ ๑ หาได้ไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาที่แก้ไขใหม่
พิพากษายืน