แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษา โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยที่ 2 ผู้ร้องยื่นคำร้องว่ารถยนต์พิพาทเป็นของผู้ร้อง ดังนี้เมื่อได้ความว่าจำเลยที่ 2 เพิ่งจะหย่ากับ ส. ภายหลังจากที่จำเลยที่ 1 ถูกดำเนินคดีอาญาเกี่ยวกับเช็ครายนี้ เพียง 18 วัน ในวันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ จำเลยที่ 2 กับ ส. ก็ยังไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่ที่จดทะเบียนหย่าและแบ่งทรัพย์สินกันเพราะถูกโจทก์เร่งรัดชำระหนี้ ผู้ร้องซึ่งเป็นน้องของ ส. กับจำเลยที่ 1รับซื้อรถยนต์ที่โจทก์นำยึดนี้ไว้ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้เพียง 6 วันและหลังจากทราบว่าจำเลยที่ 1 ถูกโจทก์ดำเนินคดีอาญาเกี่ยวกับเช็ครายนี้แล้ว ทั้งโจทก์ก็นำยึดรถยนต์พิพาทได้ในขณะอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 2 รูปคดีเชื่อ ได้ว่า ผู้ร้องรับซื้อรถยนต์พิพาทไว้โดยไม่สุจริต รถยนต์ยังเป็นของจำเลยที่ 2.
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ตามเช็คที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งจ่าย จำเลยที่ 2 เป็นผู้สลักหลังค้ำประกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์กระบะบรรทุกเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยที่ 2
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า รถยนต์คันที่โจทกืนำยึดเป็นของผู้ร้องมิใช่ของจำเลยที่ 2 ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์คัดค้านว่า รถยนต์ที่ดจทก์นำยึดเป็นของจำเลยที่ 2ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่าผู้ร้องเป็นน้องจำเลยที่ 1 และนางแสงจันทร์ รถยนต์พิพาทเดิมเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 2 และนางแสงจันทร์ จดทะเบียนที่จังหวัดบุรีรัมย์ มีชื่อจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของ จำเลยที่ 2จดทะเบียนหย่าและยกรถยนต์พิพาทให้นางแสงจันทร์ เมื่อวันที่ 28มิถุนายน 2528 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่จำเลยที่ 1 ถูกดำเนินคดีอาญาเกี่ยวกับเช็ครายนี้ 18 วัน นางแสงจันทร์โอนขายรถยนต์พิพาทต่อให้ผู้ร้องเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2528 ก่อนหน้าโจทก์ฟ้องคดีนี้6 วัน ซื้อแล้วผู้ร้องแจ้งย้ายทะบเียนรถยนต์พิพาทไปยังจังหวัดนครราชสีมา โจทก์นำยึดรถยนต์พิพาทได้เมื่อวันที่ 21 มีนาคม2530 ขณะจำเลยที่ 2 ขับไปบ้านจำเลยที่ 1 ที่ตำบลหนองกี่อำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ มีนางแสงจันทร์ นั่งรถไปกับจำเลยที่ 2 ด้วยคดีนี้มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2ยกรถยนต์พิพาทให้แก่นางแสงจันทร์ แล้วนางแสงจันทร์โอนขายต่อไปให้ผู้ร้องดังกล่าวนั้นเป็นการสมยอมกันกระทำขึ้นเพื่อป้องกันมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้หรือไม่ เห็นว่า ข้อนำสืบของผู้ร้องเกี่ยวกับเหตุที่ทำให้นางแสงจันทร์ หย่ากับจำเลยที่ 2 ข้อแรกที่ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ยอมเลิกทำร้ายร่างกายนางแสงจันทร์ ผิดทัณฑ์บนที่ทำกันไว้นั้น ผู้ร้องมีนางแสงจันทร์ เพียงปากเดียวเป็นพยานเบิกความลอย ๆ ไม่มีทัณฑ์บนที่อ้างว่าทำกันไว้ที่สถานีตำรวจเป็นพยานและไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดสนับสนุน ส่วนในข้อต่อไปที่ว่าจำเลยที่ 2 ชอบไปติดหมอนวดก็ได้ความจากคำเบิกความของนางแสงจันทร์ว่า นางแสงจันทร์ แต่งงานอยู่กินกับจำเลยที่ 2 มานานถึง 20 ปีแล้ว และมีบุตรด้วยกันถึง 5 คน เหตุที่จะทำให้ถึงกับหย่ากันควรจะต้องเป็นเรื่องสำคัญร้ายแรงถึงขนาดที่ทำให้ไม่สามารถทนอยู่ด้วยกันต่อไปได้ ไม่น่าเชื่อว่าจะหย่ากันด้วยเหตุเพียงจำเลยที่ 2ไปติดพันหมอนวด โดยจำเลยที่ 2 ก้มิได้ไปติดพันจนถึงขั้นส่งเสียเลี้ยงดูหมอนวดคนใดเป็นตัวตน ทั้งยังได้ความจากคำเบิกความของนายแสวง รัตนเมธาโกศล พยานผู้ร้องอีกปากหนึ่งว่า จำเลยที่ 2เพียงแต่ชอบไปอาบอบนวดเมื่อเวลาไปค้าขายที่กรุงเทพมหานครเท่านั้น โจทก์มีนายเพทาย คำภา ทนายความที่ปรึกษาของโจทก์เป็นพยานเบิกความว่าพยานเห็นจำเลยที่ 2 และนางแสงจันทร์ยังคงอยู่กินด้วยกันทุกครั้งที่พยานไปทวงถามหนี้สิน พยานเร่งรัดให้จำเลยทั้งสองชำะรหนี้รายนี้เรื่อยมาตั้งแต่โจทก์เริ่มดำเนินคดีอาญากับจำเลยที่ 1 ทั้งข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่าจำเลยที่ 2เพิ่งจะหย่ากับนางแสงจันทร์ ภายหลังจากที่จำเลยที่ 1 ถูกดำเนินคดีเพียง 18 วัน ในวันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดทรัพย์จำเลยที่ 2 กับนางแสงจันทร์ ก็ยังไปไหนมาไหนด้วยกันจึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 2 แลนางแสงจันทร์ รีบชิงจดทะเบียนหย่าและแบ่งทรัพย์สินกันเพราะถูกโจทก์เร่งรัดให้ชำระหนี้ ผู้ร้องเป็นน้องของนางแสงจันทร์และจำเลยที่ 1 ระหว่างจำเลยที่ 1 ถูกดำเนินคดีอาญาก็ปรากฏว่าผู้ร้องได้ไปเยี่ยมจำเลยที่ 1 ที่เรือนจำจังหวัดนครราชสีมาผู้ร้องรับซื้อรถยนต์พิพาทไว้ก่อนหน้าโจทก์ฟ้องคดีนี้เพียง 6 วันและภายหลังจากที่ราบว่าจำเลยที่ 1 ถูกโจทก์ดำเนินคดีอาญาเกี่ยวกับเช็ครายนี้แล้วทั้งโจทก์ก้นำยึดรถยนต์พิพาทได้ในขณะที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 2 รูปคดีจึงเชื่อได้ว่า ผู้ร้องรับซื้อรถยนต์พิพาทไว้โดยสมยอมกับจำเลยที่ 2 เพื่อป้องกันมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ ทำให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ ผู้ร้องมิได้รับซื้อรถยนต์พิพาทไว้โดยสุจริต”
พิพากษายืน.