คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1510/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีก่อนผู้คัดค้านเป็นโจทก์ฟ้องผู้ร้องเป็นจำเลยว่า ผู้คัดค้านเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท ผู้ร้องได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินพิพาท ขอให้ขับไล่ผู้ร้องไป ผู้ร้องให้การว่า ผู้ร้องได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทมากว่า 30 ปีแล้ว คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินบางส่วนของที่ดินพิพาทด้วยความสงบเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลา 22 ปีแล้ว ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์โดยครอบครองปรปักษ์ ขอให้ศาลสั่งว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้อง ประเด็นของคดีทั้งสองจึงมีว่า ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382แล้วหรือไม่ เมื่อประเด็นแห่งคดีเหมือนกันและเป็นคู่ความเดียวกันทั้งศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยชี้ขาดไปแล้ว คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ย่อมต้องห้ามมิให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อประมาณปี 2494 นายหนอม บางภูมิบิดาผู้ร้องซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 275 จากนายเปล่ง เรี่ยวแรงบิดาผู้ร้องครอบครองที่ดินดังกล่าวรวมกับที่ดินบางส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 274 เนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน 14 ตารางวา แล้วยกที่ดินทั้งหมดให้ผู้ร้องเมื่อปี 2510 ผู้ร้องครอบครองที่ดินทั้งสองแปลงด้วยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเป็นเวลา 22 ปีเศษผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 274 เนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน14 ตารางวา ซึ่งเป็นของนางแฉล้ม เย็นใจ กับนางทองดี ผลพิบูลย์โดยการครอบครอง ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง และให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานีจดทะเบียนแบ่งแยกให้ผู้ร้องด้วย
ผู้คัดค้านทั้งสองคัดค้านว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 274 เป็นของผู้คัดค้านทั้งสอง เมื่อปี 2520 ผู้เช่านาของผู้ร้องทำนารุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้คัดค้านทั้งสอง เนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน 14 ตารางวาผู้คัดค้านทั้งสองได้ฟ้องขับไล่ผู้ร้องเป็นจำเลยและเรียกค่าเสียหายต่อศาลชั้นต้นซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ผู้ร้องไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาการที่ผู้ร้องมายื่นคำร้องคดีนี้ จึงเป็นฟ้องซ้อนหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาและคู่ความมิได้อุทธรณ์โต้แย้งว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในโฉนดที่ดินเลขที่ 274 ของผู้คัดค้านทั้งสอง เมื่อปี 2526 ผู้คัดค้านทั้งสองได้เป็นโจทก์ฟ้องผู้ร้องเป็นจำเลยในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่228/2527 ของศาลชั้นต้นว่าบุกรุกที่ดินพิพาท ขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหายปีละ 10,800 บาท ผู้ร้องซึ่งเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวให้การต่อสู้คดีว่าผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาจนได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่ผู้ร้องและให้ผู้ร้องใช้ค่าเสียหายปีละ 6,000 บาท แก่ผู้คัดค้านทั้งสอง ผู้ร้องอุทธรณ์ว่าได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองและศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายสูงเกินสมควร ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะค่าเสียหายเป็นเงิน 4,000 บาท ผู้ร้องยื่นฎีกา คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาว่า คำร้อง ของผู้ร้องเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำอันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 144 หรือไม่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144บัญญัติว่า เมื่อศาลใดมีคำพิพากษา หรือคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดคดีหรือในประเด็นข้อใดแห่งคดีแล้ว ห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลนั้นอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วนั้นข้อเท็จจริงเรื่องนี้มีว่า คดีก่อนผู้คัดค้านเป็นโจทก์ฟ้องผู้ร้องเป็นจำเลยว่า ผู้คัดค้านเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 274ตำบลลาดหลุมแก้ว อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี ผู้ร้องได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินของผู้คัดค้าน ขอให้ขับไล่ผู้ร้องออกไปผู้ร้องให้การว่า ผู้ร้องได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินดังกล่าวมากกว่า30 ปีแล้ว ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง ในคดีนี้ผู้ร้องมายื่นคำร้องว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินบางส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 274ตำบลลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี ของผู้คัดค้าน เนื้อที่ 3 ไร่3 งาน 14 วา ด้วยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลา 22 ปีเศษแล้ว ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์โดยครอบครองปรปักษ์ขอให้ศาลสั่งว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นของผู้ร้อง ประเด็นของคดีทั้งสองจึงมีว่าผู้ร้องได้ครอบครองที่พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้วหรือไม่ เมื่อประเด็นแห่งคดีเหมือนกันและเป็นคู่ความเดียวกัน ทั้งศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดไปแล้ว ย่อมต้องห้ามมิให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำอีก ตามบทกฎหมายดังกล่าวแล้วศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share