คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1510/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยอายุไม่เกิน 14 ปี กระทำความผิด ศาลได้สั่งให้มอบตัวแก่บิดาจำเลยรับไปดูแล หากจำเลยก่อเหตุร้ายขึ้นภายใน 3 ปี ให้บิดาจำเลยชำระเงินต่อศาลครั้งละ 500บาทต่อมาจำเลยกระทำผิดอีก ศาลจึงสั่งให้ปรับบิดาจำเลยตามข้อกำหนดดังกล่าว และต่อมาจำเลยยังได้กระทำความผิดอีกเป็นครั้งที่สองในเวลากระชั้นชิดกัน สุดความสามารถที่บิดาจะควบคุมดูแลได้กับปรากฏว่าบิดาจำเลยเป็นคนยากจนด้วยเช่นนี้ ศาลย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจไม่บังคับให้บิดาจำเลยชำระเงินตามข้อกำหนดสำหรับการก่อเหตุร้ายของจำเลยครั้งที่สองเสียได้
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 77 มิใช่บทบังคับเด็ดขาดว่า ในกรณีที่เด็กก่อเหตุร้ายขึ้นแล้ว ศาลจักต้องบังคับบิดาฯให้ชำระเงินตามข้อกำหนดเสมอไปโดยศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจเพียงให้ชำระเงินน้อยกว่าที่ได้กำหนดไว้เท่านั้น แต่ถ้าศาลเห็นว่ามีเหตุอันสมควรก็อาจไม่บังคับให้ชำระเงินเลยก็ได้

ย่อยาว

คดีนี้ ศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 334 จำเลยอายุไม่เกิน 14 ปี ศาลสั่งให้มอบตัวจำเลยให้บิดาจำเลยรับไปดูแล หากจำเลยก่อเหตุร้ายขึ้นภายใน 3 ปี ให้บิดาจำเลยชำระเงินต่อศาลครั้งละ 500 บาท นายประสาน เสื่อส่อสิทธิ์ บิดาจำเลยได้ทำสัญญาไว้ต่อศาลว่าจะระวังให้จำเลยประพฤติตนรักษาความเรียบร้อยไม่ก่อเหตุร้ายตลอดเวลาที่ศาลกำหนดไว้ ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยได้ก่อเหตุร้ายโดยถูกฟ้องฐานร่วมกันลักทรัพย์ ขอให้บังคับนายประสาน เสือส่อสิทธิ์ ชำระเงินตามเงื่อนไขที่ศาลได้กำหนดไว้ นายประสานมาศาลและยอมชำระเงิน ครั้นต่อมาอีก โจทก์ยื่นคำร้องว่า บัดนี้จำเลยได้ก่อเหตุร้ายขึ้นอีกโดยถูกฟ้องฐานลักทรัพย์อีกคดีหนึ่ง ขอให้บังคับนายประสานบิดาจำเลยชำระเงิน 500 บาทตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนดไว้

ศาลชั้นต้นเห็นว่า พฤติการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป จำเลยกระทำผิดครั้งที่สอง ศาลพิพากษาจำคุกและได้ปรับนายประสานแล้ว ซึ่งนายประสานยังชำระค่าปรับไม่หมด จำเลยก็ได้ก่อเหตุเป็นครั้งที่สามและถูกศาลพิพากษาส่งตัวไปฝึกอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กจังหวัดสงขลา สมควรมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดที่ได้พิพากษาไว้ในคดีนี้ จึงให้ยกเลิกข้อกำหนดที่สั่งปรับนายประสานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 วรรคท้าย ส่วนคำร้องฉบับหลังของโจทก์ให้เป็นพับไม่ใช้บังคับนายประสานต่อไป

โจทก์อุทธรณ์ขอให้ปรับนายประสานบิดาจำเลยตามคำร้องของโจทก์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนในผลที่ไม่สั่งให้นายประสานชำระเงินตามสัญญาสำหรับการก่อเหตุร้ายครั้งหลังของจำเลย

โจทก์ฎีกาว่านายประสานบิดาจำเลยได้กระทำผิดเงื่อนไขข้อกำหนดของศาล ศาลจึงต้องปรับ จะยกเลิกเสียทีเดียวไม่ได้ ส่วนจะปรับมากน้อยเพียงใด สุดแต่ดุลพินิจ

ศาลฎีกาปรึกษาแล้ว เห็นว่า ขณะที่จำเลยก่อเหตุร้ายขึ้นตามคำร้องของโจทก์ครั้งหลัง (9 กันยายน 2514) นั้น ข้อกำหนดของศาลที่ให้นายประสานบิดาจำเลยระวังจำเลยไม่ให้ก่อเหตุร้ายยังมีผลใช้บังคับอยู่ เพราะขณะนั้นศาลยังมิได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขคำสั่งที่ได้วางข้อกำหนดเป็นอย่างอื่น มีปัญหาแต่เพียงว่า ศาลมีอำนาจที่จะไม่บังคับนายประสานบิดาจำเลยให้ชำระเงินตามข้อกำหนดนั้นได้หรือไม่

ปัญหาข้อนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 77 วรรคแรก มิใช่บทบังคับเด็ดขาดว่า ในกรณีที่เด็กก่อเหตุร้ายขึ้นแล้ว ศาลจักต้องบังคับบิดามารดา ผู้ปกครองหรือบุคคลที่เด็กอาศัยอยู่ชำระเงินตามข้อกำหนดเสมอไป ถ้าศาลเห็นว่ามีเหตุอันสมควร ก็อาจจะไม่บังคับให้บิดามารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลที่เด็กอาศัยอยู่ชำระเงินก็ได้ หาได้หมายความว่าศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจเพียงให้ชำระเงินน้อยกว่าที่กำหนด ดังที่โจทก์ฎีกาเท่านั้นไม่ สำหรับเรื่องนี้ศาลอุทธรณ์ได้ใช้ดุลพินิจไม่บังคับให้นายประสานบิดาจำเลยชำระเงินตามข้อกำหนดโดยมีเหตุอันสมควรแล้ว ไม่มีเหตุจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข

พิพากษายืน

Share