แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 ทวิ วรรคห้า ห้ามมิให้ผู้ได้สิทธิในที่ดินโอนที่ดินไปยังผู้อื่นภายในกำหนดสิบปีนับแต่วันที่ได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เว้นแต่การตกทอดทางมรดกโจทก์ทำสัญญาซื้อขายที่ดินจาก ส. บิดาจำเลยเมื่อวันที่19 ตุลาคม 2529 โดยระบุว่า ส. ได้รับเงินค่าซื้อขายที่พิพาทจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว และยินยอมมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาทให้โจทก์ยึดถือไว้ ทั้งให้สิทธิโจทก์ทุกอย่างในการเข้าครอบครองปลูกสร้างอาคารในที่พิพาทนับแต่วันที่ทำสัญญา ซึ่งอยู่ในระยะเวลาห้ามโอน ถือว่าสัญญาซื้อขายมุ่งประสงค์โอนสิทธิครอบครองทันที แม้ว่า ส. บิดาจำเลยได้ น.ส. 3 มาเมื่อวันที่ 25 และ 26 พฤษภาคม 2520 แล้ว ส. ทำสัญญาขายที่พิพาทให้โจทก์ในวันที่ 19 ตุลาคม 2529 เมื่อครอบครองที่พิพาทมา9 ปี 5 เดือนแล้ว และกำหนดโอนกันวันที่ 19 กรกฎาคม 2531 ซึ่งเป็นเวลา 11 ปี 5 เดือน นับแต่ได้รับ น.ส. 3ก. มา การทำสัญญาซื้อขายในลักษณะดังกล่าวก็เพื่อหลีกเลี่ยงข้อห้ามโอนตามประมวลกฎหมายที่ดิน ย่อมเป็นการอันมีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายจึงตกเป็นโมฆะนับแต่วันทำสัญญา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 113
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นบุตรมีสิทธิได้รับมรดกของนายส๊ะ วะเจดีย์ นายส๊ะถึงแก่กรรม ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดก นายส๊ะได้ทำสัญญาจะขายที่ดินบางส่วนของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.)เลขที่ 872 และ 873 แก่โจทก์ในราคา 15,000 บาท นายส๊ะได้รับเงินค่าที่ดินทั้งหมดไว้แล้ว กำหนดไปจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ในวันที่ 19 ตุลาคม 2531 แต่ปรากฏว่า นายส๊ะได้ถึงแก่กรรมเสียก่อนหลังจากที่ศาลได้มีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนายส๊ะแล้ว โจทก์ได้ติดต่อให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ตามสัญญาแต่จำเลยปฏิเสธเป็นการผิดสัญญา จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินบางส่วนตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 872 และ 873ตำบลเกาะลันตาใหญ่ อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เนื้อที่รวม 3 ไร่ ถ้าจำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย หากโอนที่ดินไม่ได้ให้จำเลยชดใช้ค่าที่ดิน 15,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม สัญญาซื้อขายที่โจทก์นำมาฟ้องต้องห้ามตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 ทวิ ตกเป็นโมฆะ จำเลยไม่ใช่ฝ่ายผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดสืบพยาน ศาลชั้นต้นเรียกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 872 และ 873 ตำบลเกาะลันตาใหญ่ อำเภอเกาะลันตาจังหวัดกระบี่ มาตรวจดูแล้วปรากฏว่ามีข้อกำหนดห้ามโอนภายใน 10 ปีเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงงดสืบพยานโจทก์จำเลย พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนเงิน 15,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เมื่อปรากฏว่าที่พิพาทเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ซึ่งทางราชการห้ามโอนภายในสิบปี ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 ทวิ ดังข้อความที่ปรากฏด้านหลังหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เอกสารหมาย ล.1และ ล.2 ซึ่งประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 58 ทวิ วรรคห้า บัญญัติว่า”ภายในสิบปีนับแต่วันที่ได้รับโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามวรรคหนึ่ง ห้ามมิให้บุคคลตามวรรคสอง (3) ผู้ได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินดังกล่าว โอนที่ดินนั้นให้แก่ผู้อื่นเว้นแต่เป็นการตกทอดทางมรดก…” บทบัญญัติดังกล่าวห้ามมิให้ผู้ได้สิทธิในที่ดินตามมาตรานี้โอนที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นภายในกำหนดสิบปีนับแต่วันที่ได้รับโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เว้นแต่เป็นการตกทอดทางมรดก การที่โจทก์ทำสัญญาซื้อขายที่พิพาทจากนายส๊ะบิดาจำเลยตามเอกสารท้ายฟ้องเมื่อวันที่19 ตุลาคม 2529 โดยระบุว่านายส๊ะได้รับเงินค่าซื้อขายที่พิพาทจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว และยินยอมมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของที่พิพาทให้โจทก์ยึดถือไว้ ทั้งให้สิทธิโจทก์ทุกอย่างในการเข้าครอบครองปลูกสร้างอาคารในที่พิพาทนับแต่วันทำสัญญาซึ่งยังอยู่ในระยะเวลาห้ามโอนที่พิพาทตามกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์และนายส๊ะมุ่งประสงค์โอนสิทธิครอบครองทันที แม้โจทก์จะอ้างว่านายส๊ะบิดาจำเลยได้หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของที่พิพาทมาเมื่อวันที่ 25 และ 26พฤษภาคม 2520 แล้วนายส๊ะทำสัญญาขายที่พิพาทให้โจทก์เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2529 ซึ่งนายส๊ะครอบครองที่พิพาทมา 9 ปี5 เดือนแล้วและกำหนดโอนกันในวันที่ 19 ตุลาคม 2531 ซึ่งเป็นเวลา 11 ปี 5 เดือน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์มาสัญญาซื้อขายดังกล่าวจึงไม่ได้ฝ่าฝืนกฎหมายและไม่ตกเป็นโมฆะนั้นข้ออ้างของโจทก์ฟังไม่ขึ้น เพราะการทำสัญญาซื้อขายในลักษณะดังกล่าวก็เพื่อหลีกเลี่ยงข้อห้ามโอนตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 58 ทวิดังกล่าว ย่อมเป็นการอันมีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายจึงตกเป็นโมฆะตั้งแต่วันทำสัญญาซื้อขาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามาชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน