คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1502/2550

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ว่าศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 3405/2545 แล้ว เป็นคดีหมายเลขแดงที่ 6091/2545 ซึ่งค้างพิจารณาอยู่ในศาลอุทธรณ์ก็ตาม ข้อเท็จจริงในสำนวนคดีดังกล่าวก็มิใช่ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์จะรู้ได้เอง การที่ศาลอุทธรณ์ด่วนวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนโดยหยิบยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา เพราะเป็นการนำข้อเท็จจริงนอกฟ้องมาวินิจฉัยข้อกฎหมายแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ และปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ข้อเท็จจริงตามรายงานการสืบเสาะและพินิจที่พนักงานคุมประพฤติรายงานต่อศาลมิใช่ข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการสืบพยานของคู่ความและศาลไม่อาจนำมาเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์ได้ การกระทำความผิดที่ต่อเนื่องเป็นกรรมเดียวแม้โจทก์แยกฟ้องเป็นหลายคดี ศาลก็จะพิพากษาลงโทษจำเลยทุกคดีไม่ได้ และ ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง มิได้บัญญัติห้ามมิให้ศาลสืบพยานหลักฐานต่อไปในกรณีที่จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ป.วิ.อ. มาตรา 228 บัญญัติให้ศาลมีอำนาจโดยพลการที่จะสืบพยานเพิ่มเติม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3405/2545, 3407/2545 และ 3408/2545 ของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 มาตรา 4, 30, 82, 91 ตรี ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และนับโทษต่อจากโทษในคดีดังกล่าว
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหาและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 มาตรา 4, 30 (ที่ถูกมาตรา 30 วรรคหนึ่ง), 82, 91 ตรี ลงโทษฐานร่วมกันจัดหางานโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ กรณีมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง เป็นจำคุก 1 ปี 6 เดือน และนับโทษต่อจากคดีหมายเลขดำที่ 3405/2544 (ที่ถูกคดีหมายเลขดำที่ 3405/2545) คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่เห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยในคดีนี้กับคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อทั้งสามคดีเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวกัน เป็นผลให้คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่ 3405/2545 ของศาลชั้นต้นนั้น ชอบหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันประกอบธุรกิจจัดหางานโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองหางาน พ.ศ.2528 มาตรา 4, 30, 82, 91 ตรี และนับโทษต่อจากคดีของศาลชั้นต้นอีก 3 คดี คือคดีหมายเลขดำที่ 3405/2545 คดีหมายเลขดำที่ 3407/2545 และคดีหมายเลขดำที่ 3408/2545 โดยโจทก์กล่าวมาในคำฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันกระทำความผิดเมื่อระหว่างปลายเดือนสิงหาคม 2544 ถึงวันที่ 15 กันยายน 2544 เวลากลางวันต่อเนื่องกัน ตามคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวไม่ปรากฏว่าคดีหมายเลขดำที่ 3405/2545 รวมทั้งคดีหมายเลขดำที่ 3407/2545 และคดีหมายเลขดำที่ 3408/2545 ของศาลชั้นต้นที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อนั้น เหตุเกิดเมื่อวันเวลาใด และจำเลยถูกฟ้องในข้อหาความผิดตามกฎหมายใด ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่ว่า การกระทำความผิดข้อหาจัดหางานโดยไม่ได้รับใบอนุญาตของจำเลยในคดีนี้เกิดขึ้นในระยะเวลาคาบเกี่ยวต่อเนื่องกับคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่ออีก 3 คดี และจำเลยมิได้หยุดดำเนินการในช่วงระยะเวลาดังกล่าวจึงหาใช่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์ดังที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกขึ้นวินิจฉัยไม่ และแม้ว่าศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 3405/2545 แล้ว เป็นคดีหมายเลขแดงที่ 6091/2545 ซึ่งค้างพิจารณาอยู่ในศาลอุทธรณ์ก็ตาม ข้อเท็จจริงในสำนวนคดีดังกล่าวก็มิใช่ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์จะรู้ได้เอง การที่ศาลอุทธรณ์ด่วนวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนโดยหยิบยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา เพราะเป็นการนำข้อเท็จจริงนอกฟ้องมาวินิจฉัยข้อกฎหมายแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ และปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ แต่อย่างไรก็ตามคดีนี้ศาลชั้นต้นได้สั่งให้พนักงานคุมประพฤติสืบเสาะและพินิจจำเลยเพื่อใช้ประกอบดุลพินิจในการกำหนดโทษ ซึ่งปรากฏตามรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติว่า จำเลยรับจัดหางานให้แก่ผู้เสียหายในคดีนี้และชักชวนผู้เสียหายในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อให้ไปทำงานยังต่างประเทศในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกัน และในท้ายที่สุดแล้วผู้เสียหายในทุกคดีได้ไปร้องทุกข์ที่กรมแรงงานพร้อมกัน แม้ข้อเท็จจริงตามรายงานสืบเสาะและพินิจที่พนักงานคุมประพฤติรายงานต่อศาลดังกล่าว มิใช่ข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการสืบพยานของคู่ความและศาลไม่อาจนำมาเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์ได้ก็ตาม แต่หากเป็นความจริงการกระทำความผิดของจำเลยในทุกคดีดังกล่าวก็อาจต่อเนื่องเป็นกรรมเดียวกัน และมีผลทำให้การฟ้องคดีในสำนวนหลังเป็นฟ้องซ้อนกับคดีที่ฟ้องก่อน การที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยทุกสำนวนคดีโดยเหตุที่โจทก์แยกฟ้องเป็นหลายคดีย่อมไม่ชอบด้วยความยุติธรรม และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง มิได้บัญญัติห้ามมิให้ศาลสืบพยานหลักฐานต่อไปในกรณีที่จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ทั้งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 228 ก็บัญญัติให้ศาลมีอำนาจโดยพลการที่จะสืบพยานเพิ่มเติมเมื่อโจทก์ยังฎีกาโต้แย้งอยู่ว่าวันเวลาเกิดเหตุในคดีนี้กับคดีหมายเลขดำที่ 3405/2545 ของศาลชั้นต้นเป็นคนละช่วงระยะเวลากัน ดังนั้น เพื่อให้ข้อเท็จจริงกระจ่างแจ้ง ศาลฎีกาจึงเห็นควรสืบพยานเพิ่มเติมในประเด็นที่ว่า คดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อตามฟ้องกับคดีนี้เกิดเหตุในช่วงระยะเวลาใด โดยให้ส่งสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานให้ เสร็จแล้วให้ส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อวินิจฉัยต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208 (1) ประกอบ มาตรา 225
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ส่งสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานเพิ่มเติมในประเด็นที่ว่า คดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อตามฟ้องกับคดีนี้เกิดเหตุในช่วงระยะเวลาใดแล้วให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share