คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1501/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนังสือสัญญาขายฝากที่ดินพิพาท ระบุว่า จำเลยจดทะเบียนทำสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทแก่โจทก์เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2546 มีกำหนด 1 ปี และได้จดทะเบียนประเภทขายฝากลงชื่อจำเลยเป็นผู้ขายฝาก โจทก์เป็นผู้รับซื้อฝาก โดยนาง ศ. เจ้าหน้าที่ที่ดินผู้ดำเนินการทำหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทมาเบิกความยืนยันรับรองความถูกต้อง สำเนาหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทดังกล่าว จึงเป็นสำเนาอันรับรองถูกต้องแห่งเอกสารมหาชนซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้น ซึ่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 127 บัญญัติให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้อง จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายที่ถูกอ้างเอกสารนั้นมายันต้องนำสืบความไม่บริสุทธิ์หรือความไม่ถูกต้องแห่งเอกสารให้รับฟังได้ตามที่อ้าง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยกับบริวารออกจากที่ดินและบ้านพิพาท ห้ามเกี่ยวข้องกับบ้านพิพาท ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์เดือนละ 3,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยกับบริวารจะออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องโจทก์และบังคับโจทก์จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อในโฉนดที่ดินเลขที่ 113304 ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จากชื่อโจทก์เป็นชื่อจำเลย และให้โจทก์รับชำระเงินกู้จากจำเลย หากไม่ดำเนินการให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์รับเงินจากจำเลย 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2546 เป็นต้นไป ให้โจทก์จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อในโฉนดที่ดินเลขที่ 113304 ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นชื่อจำเลย หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับ ให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกจากที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยกับบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 1,500 บาท นับตั้งแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 17 กันยายน 2547) ไปจนกว่าจะออกไปจากที่ดินพิพาท ยกฟ้องแย้งจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งจำเลยในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในข้อแรกว่า หนังสือสัญญาขายฝากเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญากู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยหรือไม่ โดยจำเลยอ้างว่า ราคาที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างที่ปลูกอยู่บนที่ดินพิพาทมีราคาสูงมาก ทั้งสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านก่ออิฐฉาบปูนมีความมั่นคงแข็งแรง หากโจทก์กับจำเลยจะทำสัญญาขายฝากกันจริงย่อมต้องทำสัญญาขายฝากทั้งที่ดินพิพาทและบ้านด้วย และเมื่อทำสัญญาขายฝากกันแล้ว โจทก์มิได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทและบ้าน ประกอบกับหนังสือสัญญาขายฝากถือได้ว่าเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินที่ใช้บังคับได้นั้น ในข้อนี้จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายมีหน้าที่นำสืบก่อนนำสืบว่า วันเกิดเหตุจำเลยไปขอกู้ยืมเงินโจทก์ 100,000 บาท โจทก์ตกลงให้กู้ แต่จำเลยจะต้องนำหลักทรัพย์มาเป็นประกันการกู้ยืมเงิน จำเลยจึงนำโฉนดที่ดินพิพาทไปเป็นประกันการชำระหนี้ โดยโจทก์แจ้งว่าจะจดทะเบียนเป็นสัญญาจำนองหรือสัญญาขายฝาก หากจดทะเบียนจำนองดอกเบี้ยจะแพงกว่าจดทะเบียนขายฝาก จำเลยเชื่อใจโจทก์เพราะเป็นญาติกัน จึงไปจดทะเบียนเป็นสัญญาขายฝากที่สำนักงานที่ดินจังหวัดสงขลา ส่วนโจทก์นำสืบว่า ก่อนวันเกิดเหตุจำเลยมาขอกู้ยืมเงินโจทก์ 100,000 บาท โดยบอกว่าจะนำที่ดินมาขายฝากไว้แก่โจทก์ เท่าที่โจทก์ทราบจำเลยมีที่ดินอยู่หลายแปลง โจทก์ตกลงและในวันเกิดเหตุจำเลยนำโฉนดที่ดินพิพาทมาจดทะเบียนทำสัญญาขายฝาก โดยไม่มีข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ย แต่จำเลยเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมการขายฝาก โจทก์ไม่เคยไปดูที่ดินพิพาทและเพิ่งมาทราบภายหลังว่ามีบ้านปลูกอยู่ในที่ดินพิพาท โจทก์และจำเลยเจตนาจดทะเบียนทำสัญญาขายฝากเฉพาะที่ดินพิพาทเท่านั้นไม่รวมบ้านด้วย เห็นว่า นอกจากศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับข้อวินิจฉัยข้อเท็จจริงและเหตุผลตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 โดยไม่จำต้องนำมากล่าวซ้ำอีก ยังเห็นอีกว่าหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทเอกสารหมาย จ. 2 ระบุว่า จำเลยจดทะเบียนทำสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทแก่โจทก์เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2546 มีกำหนด 1 ปี และได้จดทะเบียนประเภทขายฝากลงชื่อจำเลยเป็นผู้ขายฝาก และโจทก์เป็นผู้รับซื้อฝาก ซึ่งโจทก์ยังมีนางสาวศิวาพร เจ้าหน้าที่ที่ดินผู้ดำเนินการทำหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทมาเบิกความยืนยันรับรองความถูกต้อง สำเนาหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทเอกสารหมาย จ. 2 จึงเป็นสำเนาอันรับรองถูกต้องแห่งเอกสารมหาชนซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้น ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127 บัญญัติให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้อง จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายที่ถูกอ้างเอกสารนั้นมายันต้องนำสืบความไม่บริสุทธิ์หรือความไม่ถูกต้องแห่งเอกสารให้รับฟังได้ตามที่อ้าง แต่จำเลยมีแต่อ้างตนเองเบิกความลอย ๆ ว่า จำเลยทำหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทเพื่อเป็นการอำพรางการกู้ยืมเงิน 100,000 บาท จากโจทก์ พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีเหตุผลและน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยว่า หนังสือสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทไม่ใช่นิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงินและมีผลบังคับได้ไม่ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 นั้น ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share