คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1501/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พยานเอกสารที่โจทก์ส่งต่อศาลชั้นต้นในวันนัดพร้อมเป็นหนังสือของบุคคลอื่น มิใช่ของจำเลย และจำเลยมิได้รับรองความถูกต้องของหนังสือดังกล่าวศาลจะนำมารับฟังเป็นโทษแก่จำเลยทั้งสองหาได้ไม่ เพราะเป็นการรับฟังพยานหลักฐานของโจทก์ฝ่ายเดียว โดยจำเลยยังไม่ได้มีโอกาสนำสืบหักล้างความถูกต้อง
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายวันละ 1,000 บาท จำเลยให้การปฏิเสธว่า โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ค่าเสียหายสูงเกินจริงและเคลือบคลุมจึงฟังเป็นที่ยุติไม่ได้ การที่ศาลชั้นต้นรีบด่วนกำหนดค่าเสียหายให้จำเลยทั้งสองใช้แก่โจทก์วันละ 600 บาท จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ควรที่ศาลชั้นต้นจะต้องฟังข้อนำสืบของคู่ความต่อไปจนสิ้นกระแสความตามคำฟ้องและคำให้การแล้ววินิจฉัยชี้ขาดคดีว่าโจทก์เสียหายหรือไม่ หากเสียหายค่าเสียหายควรจะมีจำนวนเท่าใดโดยวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์ และความร้ายแรงแห่งละเมิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมบิดาจำเลยทั้งสองเช่าที่ดินของนาย ส. ทำบ่อเลี้ยงปลา เมื่อบิดาจำเลยตาย จำเลยทั้งสองเช่าที่ดินดังกล่าวต่อมา นาย ส. ประสงค์จะขายที่ดินจึงบอกเลิกการเช่าแก่จำเลยทั้งสอง โจทก์ซึ่งซื้อที่ดินดังกล่าวโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ไม่ประสงค์จะให้จำเลยทั้งสองเช่าต่อจึงแจ้งให้จำเลยทั้งสองออกจากที่ดิน จำเลยไม่ยอมออกเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายวันละ ๑,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองขนย้ายบริวารและทรัพย์สินออกไปจากที่ดินดังกล่าว และใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์วันละ ๑,๐๐๐ บาท นัดถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะขนย้ายบริวารและทรัพย์ออกไปจากที่ดินพิพาท
จำเลยทั้งสองให้การว่า บิดาจำเลยเช่าที่ดินพิพาททำนาและจำเลยทั้งสองเป็นผู้เช่าต่อโดยทำนาเป็นส่วนใหญ่ ทำบ่อเลี้ยงปลาเป็นส่วนน้อยโดยได้รับความยินยอมจากนาย ส.ผู้ให้เช่า นายส.ไม่เคยบอกเลิกสัญญากับจำเลย และมิได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.๒๕๒๔ การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้องจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย สัญญาเช่าไม่ระงับผู้รับโอนต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของเจ้าของเดิม จำเลยจึงมีสิทธิเช่าที่ดินรายนี้มีกำหนด ๖ ปี ค่าเสียหายเกินความจริงและเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
วันนัดพร้อมศาลชั้นต้นศาลชี้ขาดปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๒๔ มีคำสั่งให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทและกำหนดค่าเสียหายให้จำเลยชำระให้โจทก์วันละ ๖๐๐ บาท จนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดีว่าจำเลยทั้งสองได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๒๔ มาตรา ๕๓ และมาตรา ๒๖ แต่ศาลชั้นต้นฟังพยานเอกสารของโจทก์ฝ่ายเดียวอันเป็นหนังสือลงวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๒๖ และฉบับลงวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๒๖ ที่โจทก์ส่งต่อศาลชั้นต้น โดยหนังสือลงวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๒๖ เป็นหนังสือของนายผดา ประภาวิวัฒน์ และนายสำเนียง ฤทธาคนี ถึงประธาน คขก. ตำบลมีความว่าได้บอกเลิกการเช่าที่ดินพิพาทแก่จำเลยทั้งสองแล้วและหากจำเลยทั้งสองจะซื้อที่ดินเฉพาะส่วนที่ทำปรโยชน์ ขอให้พิจารณาให้เสร็จสิ้นภายใน ๓๐ วัน หนังสือฉบับลงวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๒๖ เป็นหนังสือของประธานกรรมการการเช่านามีถึงนายสำเนียง ฤทธาคนี ว่ากฎหมายยังไม่ได้บังคับการเช่าเพื่อการเกษตรกรรม เลี้ยงสัตว์น้ำ เพราะกฎหมายยังมิได้ใช้บังคับ จึงให้จัดการโอนที่ดินให้ผู้ซื้อได้ ศาลฎีกาเห็นว่า หนังสือสองฉบับนี้เป็นหนังสือของบุคคลอื่น มิใช่ของจำเลยและไม่ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่าจำเลยทั้งสองได้รับรองความถูกต้องของหนังสือทั้งสองฉบับดังกล่าวข้างต้นเลย ศาลชั้นต้นจะนำมารับฟังเป็นโทษแก่จำเลยทั้งสองหาได้ไม่ เพราะเป็นการรับฟังพยานหลักฐานของโจทก์ฝ่ายเดียวโดยจำเลยทั้งสองยังไม่ได้มีโอกาสนำสืบคัดค้านหักล้างความถูกต้องแต่ประการใด ทั้ง ๆ ที่จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ไว้ว่าเช่าที่ดินพิพาทให้ทำนาเป็นส่วนใหญ่การรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา สำหรับค่าเสียหายนั้น จำเลยทั้งสองก็ให้การโต้เถียงปฏิเสธว่า โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ค่าเสียหายวันละ ๑,๐๐๐ บาท สูงเกินความจริงและเคลือบคลุม จึงฟังเป็นยุติอย่างใดไม่ได้ควรจะฟังข้อนำสืบของโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้วจึงวินิจฉัยว่าโจทก์เสียหายหรือไม่หากเสียหายแล้วค่าเสียหาย ควรจะมีจำนวนเท่าใด โดยวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นรีบด่วนกำหนดค่าเสียหายให้จำเลยทั้งสองใช้แก่โจทก์วันละ ๖๐๐ บาท จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาเช่นกัน ควรที่ศาลชั้นต้นจะต้องฟังข้อนำสืบของคู่ความต่อไปจนเสร็จสิ้นกระแสความตามคำฟ้องและคำให้การเพื่อให้ได้ความชัดเจนแล้ววินิจฉัยชี้ขาดคดีจึงจะถูกต้อง ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share