แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยรับราชการเป็นตำรวจ ประจำกองกำกับการ 2 สันติบาลมีหน้าที่เกี่ยวกับการสืบสวนพระภิกษุสงฆ์ ผู้บังคับบัญชาสั่งให้จำเลยไปจดบันทึกคำให้การของบุคคลผู้ขอหนังสือเดินทาง และผู้ทำสัญญารับรองบุคคลผู้ขอหนังสือเดินทางไปต่างประเทศ จำเลยจึงมีหน้าที่จดบันทึกคำให้การของบุคคลดังกล่าว ไม่ว่าคำสั่งนั้นจะเป็นคำสั่งด้วยลายลักษณ์อักษรหรือด้วยวาจาเมื่อจำเลยกรอกข้อความเท็จลงในบันทึกคำให้การโดยผู้ขอหนังสือเดินทางและผู้ทำสัญญารับรองฯ ไม่ได้มาให้การและมิได้ให้การเช่นนั้น ทั้งจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อความเท็จ แล้วจำเลยรับรองเป็นหลักฐานว่าผู้ขอหนังสือเดินทางและผู้ทำสัญญารับรองฯได้ให้การตามข้อความที่จำเลยจดดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162(1) และ(2)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยรับราชการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจประจำแผนก 2 กองกำกับการ 2 ตำรวจสันติบาล มีหน้าที่จดบันทึกคำให้การบุคคลผู้ขอหนังสือเดินทางไปต่างประเทศ และผู้ทำสัญญารับรองบุคคลผู้ขอหนังสือเดินทางไปต่างประเทศ จำเลยกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 10449/2517ของศาลชั้นต้นได้บังอาจร่วมกันในการปฏิบัติตามหน้าที่ของจำเลย จดบันทึกคำให้การของนางสาวสิริพร แสงเงิน ผู้ขอหนังสือเดินทางไปต่างประเทศและจดบันทึกคำให้การของนายชาญ พีระโภศิน ผู้ทำสัญญารับรองบุคคลผู้ขอหนังสือเดินทางไปต่างประเทศ เกี่ยวกับประวัติและสถานที่อยู่ของบุคคลทั้งสองลงในบันทึกคำให้การของหน่วยสอบสวนหนังสือเดินทาง กองตำรวจสันติบาลโดยทุจริต ทั้งนี้ โดยไม่มีตัวนางสาวสิริพร แสงเงินและนายชาญ พีระโภคิน มาอยู่ต่อหน้าจำเลย และมีการแจ้งข้อความนั้นอันเป็นเท็จ เป็นเหตุให้รัฐบาลได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 162 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502 มาตรา 13
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, 162 ให้ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502 มาตรา 13 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 3 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยกระทำผิดจริงตามฟ้อง แต่การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 162(1)(2) ซึ่งเป็นบทบัญญัติโดยเฉพาะแล้วไม่ผิดตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162(1)(2) จำคุก 2 ปี
จำเลยฎีกา
ได้ความว่า กองกำกับการ 2 สันติบาลมีหน้าที่เกี่ยวกับการออกหนังสือเดินทางไปต่างประเทศโดยสอบประวัติและวัตถุประสงค์ของบุคคลผู้ขอหนังสือเดินทาง สอบประวัติ และหลักฐานของผู้ทำสัญญารับรองบุคคลผู้ขอหนังสือเดินทาง แล้วเสนอผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเพื่อเสนอความเห็นในนามกรมตำรวจไปยังกระทรวงการต่างประเทศ เดิมไม่มีคำสั่งให้ผู้ขอหนังสือเดินทางและผู้ทำสัญญารับรองมาให้การด้วยตนเอง ต่อมาพันตำรวจเอกศิริผู้กำกับการได้มีคำสั่งให้ผู้ขอหนังสือเดินทางและผู้ทำสัญญารับรองมาให้การด้วยตนเอง จำเลยรับราชการประจำกองกำกับการ 2 สันติบาล มีหน้าที่เกี่ยวกับการสืบสวนพระภิกษุสงฆ์และอยู่ในบังคับบัญชาของพันตำรวจเอกศิริผู้กำกับการ พันตำรวจเอกศิริสั่งด้วยวาจาให้จำเลยไปจดบันทึกคำให้การของผู้ขอหนังสือเดินทางและผู้ทำสัญญารับรองฯ หลายครั้ง ในเมื่องานจดบันทึกคำให้การมีมาก ต่อมาพันตำรวจโทอารีย์ทราบว่าที่กระทรวงการต่างประเทศมีนายหน้ารับจัดทำหนังสือเดินทางไปต่างประเทศและรับทำบัตรประชาชนหรือใบแทน ทะเบียนบ้านหรือหลักฐานอื่นปลอม จึงวางแผนจับกุมโดยให้นางสาวสิริพร โปซิว ไปขอหนังสือเดินทางโดยใช้ชื่อว่านางสาวสิริพร แสงเงิน และให้นายจันทร์เป็นคนไปติดต่อกับนายหน้าดังกล่าว นายจันทร์ไปติดต่อกับนายอดิเรก นายอดิเรกให้นายณรงค์ไปเอาแบบพิมพ์คำร้องและขอรูปถ่ายจากนางสาวสิริพร แล้วนางสาวสิริพรลงชื่อว่าสิริพร แสงเงิน หลังรูปถ่ายและในแบบพิมพ์คำร้องตามที่นายอดิเรกบอกให้ลงชื่อ โดยยังไม่ได้กรอกข้อความและไม่ได้บอกรายละเอียดที่จะต้องกรอกในแบบพิมพ์ ต่อจากนั้นนายอดิเรกและนายณรงค์ก็กรอกข้อความลงในแบบพิมพ์ว่านายชาญ พีระโภศิน เป็นผู้ทำสัญญารับรองในการที่นางสาวสิริพรแสงเงิน จะเดินทางไปต่างประเทศ พร้อมทั้งจัดการปลอมลายมือชื่อนายชาญในช่องผู้ทำสัญญารับรอง นอกจากนี้ยังได้ทำสำเนาทะเบียนบ้านปลอมของนางสาวสิริพร แสงเงิน และนายชาญ พีระโภศิน กับทำใบรับรองว่าอำเภอบางกอกใหญ่ได้รับคำขอมีบัตรหรือเปลี่ยนบัตรของนางสาวสิริพร แสงเงินไว้แล้ว แนบไปพร้อมคำร้องขอหนังสือเดินทางด้วย กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งให้ตำรวจสอบสวนพร้อมทั้งส่งสำเนาคำร้องขอหนังสือเดินทางไปด้วย โดยมอบให้นายณรงค์นำไปยื่นต่อกรมตำรวจ นายณรงค์ได้ฝากหนังสือดังกล่าวไปกับนายสมบัติให้เอาไปให้จำเลยที่กองกำกับการ 2 สันติบาลซึ่งขณะนั้นได้รับคำสั่งด้วยวาจาจากพันตำรวจเอกศิริให้ทำหน้าที่จดบันทึกคำให้การผู้ขอหนังสือเดินทางและคำให้การของผู้ทำสัญญารับรองฯ จำเลยได้กรอกข้อความลงในแบบพิมพ์บันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.10, จ.11โดยไม่มีตัวนางสาวสิริพรและนายชาญมาให้การ และข้อความที่จำเลยกรอกเป็นข้อความเท็จ แล้วนำไปเสนอหัวหน้าแผนกลงชื่อ ต่อมาได้เสนอเรื่องราวต่อกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง แล้วกรมตำรวจได้มีหนังสือตอบกระทรวงการต่างประเทศว่าไม่ขัดข้อง หลังจากนั้นกระทรวงการต่างประเทศก็ออกหนังสือเดินทางให้นางสาวสิริพร โปซิว ในนามนางสาวสิริพร แสงเงิน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อความที่จำเลยกรอกในบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.10 และ จ.11 มิได้กรอกเฉพาะข้อความที่ปรากฏในหลักฐานที่กระทรวงการต่างประเทศส่งมา แต่จำเลยกรอกข้อความนอกเหนือจากที่ปรากฏในหลักฐานดังกล่าว ซึ่งเป็นข้อความเท็จที่จำเลยกรอกลงไปเอง จึงมิใช่เป็นการกรอกข้อความโดยสุจริต
แม้จำเลยจะมีหน้าที่เกี่ยวกับการสืบสวนพระภิกษุสงฆ์ แต่เมื่อพันตำรวจเอกศิริ สุจริตกุล ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสั่งให้จำเลยไปจดบันทึกคำให้การของบุคคลผู้ขอหนังสือเดินทางไปต่างประเทศและผู้ทำสัญญารับรองบุคคลผู้ขอหนังสือเดินทางไปต่างประเทศ จำเลยจึงมีหน้าที่จดบันทึกคำให้การของบุคคลผู้ขอหนังสือเดินทางไปต่างประเทศและผู้ทำสัญญารับรองบุคคลผู้ขอหนังสือเดินทางไปต่างประเทศตามคำสั่งของพันตำรวจเอกศิริ สุจริตกุล ไม่ว่าคำสั่งนั้นเป็นคำสั่งด้วยลายลักษณ์อักษรหรือด้วยวาจา เมื่อจำเลยกรอกข้อความเท็จลงในบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.10 และ จ.11 โดยที่นางสาวสิริพร แสงเงิน และนายชาญ พีระโภศินไม่ได้มาให้การและมิได้ให้การเช่นนั้น ทั้งจำเลยกรอกข้อความลงในเอกสารหมาย จ.10 และ จ.11 โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อความเท็จ แล้วจำเลยรับรองเป็นหลักฐานว่านางสาวสิริพร แสงเงิน และนายชาญ พีระโภศิน ได้ให้การตามข้อความที่จำเลยจดในเอกสารหมาย จ.10 และ จ.11 การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162(1) และ (2)
พิพากษายืน