แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 พ้นตำแหน่งผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดโจทก์ไปแล้วแต่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ก็ยังมีชื่อเป็นผู้มีอำนาจถอนเงินของวัดโจทก์จากธนาคารอยู่ โดยยังไม่มีผู้ใดเพิกถอนอำนาจของจำเลยในการถอนเงินและแจ้งไปให้ธนาคารทราบ เมื่อจำเลยทั้งสองร่วมกันถอนเงินของโจทก์จากธนาคาร โดยจำเลยมิได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ของธนาคารทราบว่าจำเลยที่ 1พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวแล้ว ก็ยังไม่เป็นการหลอกลวงเจ้าหน้าที่ของธนาคารเพราะเมื่ออำนาจการถอนเงินซึ่งจำเลยมีมาแต่เดิมยังไม่ถูกเพิกถอนการที่จำเลยไปถอนเงิน จึงเป็นการถอนเงินตามที่วัดโจทก์ตกลงไว้กับธนาคาร และการที่จำเลยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบเรื่องการถอนเงินนี้ก็ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า โจทก์มีเงินฝากในธนาคารกรุงไทย จำกัดสาขาสงขลา เงินดังกล่าวโจทก์มอบหมายให้กรรมการวัดอันประกอบด้วยเจ้าอาวาสวัดบ่อสระและกรรมการอื่นอีก ๔ คน มอบฝากไว้กับธนาคารในการถอนเงินเจ้าอาวาสร่วมกับกรรมการอีกหนึ่งคนเป็นอย่างน้อยมีอำนาจลงนามถอนเงินได้ จำเลยที่ ๑ เคยรักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดบ่อสระระหว่างวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๑๓ ถึงวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๑๓ จำเลยที่ ๒เป็นกรรมการวัดด้วยผู้หนึ่ง เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๑๓ วันที่ ๑๘ มกราคม๒๕๑๔ และวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๑๔ จำเลยทั้งสองได้ใช้อุบายเบิกถอนเงินสดของโจทก์จากธนาคารดังกล่าวจำนวน ๓,๐๐๐ บาท ๒,๕๐๐ บาท และ๑,๐๐๐ บาทตามลำดับ โดยใช้อุบายหลอกลวงเจ้าหน้าที่ของธนาคารโดยสมคบกันแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าจำเลยที่ ๑ ยังรักษาการแทนเจ้าอาวาสอยู่ และปกปิดความจริงอันควรบอกให้แจ้งว่าจำเลยที่ ๑พ้นตำแหน่งผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดบ่อสระไปแล้วและโดยการหลอกลวงดังว่านั้น ได้ไปซึ่งทรัพย์สินคือเงินสดจำนวนดังกล่าวทั้ง ๓ ครั้งจากเจ้าหน้าที่ธนาคารและผู้จัดการธนาคารดังกล่าวจำนวนทั้งสิ้นรวม ๖,๕๐๐ บาทในการถอนเงินดังกล่าว จำเลยทั้งสองปกปิดความจริงอันควรแจ้งให้โจทก์ทราบขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑, ๓๔๒, ๘๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ใช่เป็นผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีโจทก์ไม่มีมูลความผิดทางอาญา พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริง ทางไต่สวนมูลฟ้องว่า ก่อนพระภิกษุทิมชินะวังโส ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดบ่อสระโจทก์จำเลยที่ ๑ เป็นผู้รักษาการแทน จำเลยที่ ๑ พ้นตำแหน่งรักษาการแทนเจ้าอาวาสเมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๑๓ เมื่อพ้นตำแหน่งแล้ว จำเลยที่ ๑กับจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นกรรมการวัดได้เบิกเงินของโจทก์ไปจากธนาคารกรุงไทยจำกัด สาขาสงขลา ๓ คราว เป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๖,๕๐๐ บาท โดยมิได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ของธนาคารทราบว่าจำเลยที่ ๑ พ้นตำแหน่งดังกล่าว และมิได้บอกให้พระภิกษุทิมทราบ วินิจฉัยว่าการที่จำเลยที่ ๑ พ้นตำแหน่งผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดโจทก์ไปแล้ว แต่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก็ยังคงมีชื่อเป็นผู้มีอำนาจถอนเงินของวัดโจทก์จากธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาสงขลา อยู่ โดยยังไม่มีผู้ใดเพิกถอนอำนาจในการถอนเงินของจำเลยและแจ้งไปให้ธนาคารทราบ แล้วจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันถอนเงินของโจทก์จากธนาคารดังกล่าวไป โดยจำเลยมิได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ของธนาคารทราบว่า จำเลยที่ ๑ พ้นจากตำแหน่งผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดโจทก์แล้ว และมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบเรื่องการเบิกถอนเงินนั้น การกระทำของจำเลยเช่นนี้ยังไม่เป็นการหลอกลวงเจ้าหน้าที่ของธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาสงขลา เพราะเมื่ออำนาจการถอนเงินซึ่งจำเลยมีมาแต่เดิมนั้นยังไม่ได้ถูกเพิกถอน การที่จำเลยไปถอนเงิน จึงเป็นการถอนเงินตามที่วัดโจทก์ตกลงไว้กับธนาคารและการที่จำเลยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบเรื่องการถอนเงินนี้ ก็ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้อง
พิพากษายืน