แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ออกเช็คเพื่อชำระค่าไม้ที่บริษัทจำเลยขายหรือจะขายให้โจทก์ บริษัทจำเลยส่งไม้ให้ไม่ครบจำนวน โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินที่จ่ายเกินไปนั้นคืน จากจำเลย และศาลได้พิพากษาให้บริษัทจำเลยรับผิดคืนเงินจำนวนนั้นให้โจทก์แล้ว แม้จะปรากฏว่าจำเลยได้สลักหลังเช็คนั้น ให้ธนาคารผู้เคยค้าของจำเลยรับรองต่อธนาคารผู้จ่ายว่า ได้นำเงินตามเช็ค (ขีดคร่อม) เข้าบัญชีของผู้รับเงิน คือบริษัทจำเลยแล้วและรับรองว่า ลายมือสลักหลังเช็คนั้นเป็นลายมือสลักหลังที่แท้จริงของผู้รับเงิน ธนาคารผู้จ่ายจึงจ่ายเงินตามเช็คนั้นให้แก่ธนาคารผู้เคยค้าของจำเลยไปดังนี้ โจทก์จะฟ้องให้ธนาคารผู้เคยค้าของจำเลยต้องรับผิดอีกด้วยไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายพงษ์ เชาว์ประดิษฐ์ ได้มาติดต่อกับโจทก์อ้างตนว่าเป็นผู้จัดการบริษัทเฮียบเฮงหลี จำกัด จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบริษัทค้าไม้ซุงและเสนอขายไม้ซุงกับโจทก์ในนามของบริษัทเฮียบเฮงหลีจำกัด จำเลยที่ 1 โจทก์ก็ตกลง โจทก์ได้ออกเช็คตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2490 ถึงมีนาคม 2492 รวม 31 ฉบับ เป็นเงินทั้งหมด 1,914,002 บาท 54 สตางค์ อันเป็นเช็คของธนาคารชาเตอร์ ให้จ่ายเงินแก่บริษัทเฮียบเฮงหลี จำเลยที่ 1 ตามคำสั่ง และเป็นเช็คขีดคล่อมทั่วไปทั้งหมด เพื่อชำระค่าไม้ซุง
ต่อมาจำเลยที่ 1 ไม่ส่งไม้ซุงตามสัญญา และปฏิเสธว่า นายพงษ์เชาว์ประดิษฐ์ มิได้เป็นผู้จัดการของบริษัทจำเลยที่ 1 โจทก์จึงขอให้จำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์
และเนื่องจาก ธนาคารกรุงเทพฯ จำเลยที่ 2 ได้นำเอาเช็คที่โจทก์สั่งจ่ายดังกล่าว โดยมีลายมือชื่อ นายพงษ์ เชาว์ประดิษฐ์ไปขอรับเงินจากธนาคารชาเตอร์ แล้วเอาเข้าบัญชีส่วนตัวของ นายพงษ์ เชาว์ประดิษฐ์ ที่มีอยู่กับจำเลยที่ 2 การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการทำผิดสัญญาและละเมิดสิทธิของโจทก์ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ ฯลฯ
จำเลยทั้ง 2 ให้การปฏิเสธความรับผิด
ศาลแพ่งทำการพิจารณาแล้ว ฟังว่าพฤติการณ์รอบด้านแสดงว่านายเฮียบตุ้น ผู้จัดการบริษัทเฮียบเฮงหลี จำกัด และเป็นบิดาของนายพงษ์เชาว์ประดิษฐ์ ได้ยินยอมหรือเชิด นายพงษ์ เชาว์ประดิษฐ์เป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 เต็มที่ โดยให้ นายพงษ์ เชาว์ประดิษฐ์ออกเช็คใบรับเงินและสลักหลังเช็คในที่อื่น ๆ ในนามของบริษัทเฮียบเฮงหลี จำกัดทั่วไป จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดในหนี้สินรายนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821 ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ 2 นั้นการกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้โจทก์เจ้าของเช็คเสียหาย จึงพิพากษาให้จำเลยทั้ง 2 ชำระเงิน 313,943 บาท 69 สตางค์ แก่โจทก์ ฯลฯ
จำเลยทั้ง 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้คงพิพากษายืน
โจทก์แต่ฝ่ายเดียวฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ในข้อที่ว่า จำเลยที่ 2 ผิดสัญญาโจทก์อ้างว่าธนาคารชาร์เตอร์เป็นตัวแทนของโจทก์ จำเลยที่ 2 ได้รับรองต่อธนาคารชาเตอร์ว่า ได้นำเงินตามเช็คเข้าบัญชีของผู้รับเงินคือบริษัทเฮียบเฮงหลี จำกัดแล้ว และรับรองว่าลายมือสลักหลังเช็คนั้นเป็นลายมือสลักหลังที่แท้จริงของผู้รับเงิน ธนาคารชาเตอร์จึงจ่ายเงินตามเช็คนั้นให้แก่จำเลยที่ 2 ศาลฎีกาเห็นว่า ข้ออ้างที่ว่าธนาคารเป็นตัวแทนนั้นฟังไม่ขึ้น เพราะการที่ผู้สั่งจ่ายสั่งให้ผู้จ่าย จ่ายเงินให้แก่ผู้รับเงินตามลักษณะตั๋วเงินนั้น ไม่ใช่เป็นการแสดงความผูกพันในฐานะตัวการตัวแทนอย่างใดเลย ข้อโต้แย้งของโจทก์จึงตกไป
สำหรับที่จะให้จำเลยที่ 2 รับผิดฐานละเมิดหรือฐานประมาทเลินเล่อในหน้าที่ของธนาคารตามลักษณะตั๋วเงินนั้น สาระสำคัญอยู่ที่ว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายหรือเจ้าของเช็คอันแท้จริงหรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่าการที่โจทก์เป็นผู้สั่งจ่ายออกเช็คสั่งให้ธนาคารชาเตอร์จ่ายเงินให้บริษัทเฮียบเฮงหลีนั้น ความผูกพันระหว่างโจทก์กับบุคคลอื่นผู้เข้ามาเป็นคู่สัญญาในตั๋วเงินนั้น ก็มีแต่เพียงว่า โจทก์เป็นอันสัญญาว่า เมื่อตั๋วนั้นได้นำยื่นโดยชอบแล้วจะมีผู้รับรองและใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋ว ถ้าและตั๋วนั้นเขาไม่เชื่อถือ โดยไม่ยอมรับรองก็ดี หรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี โจทก์ก็จะใช้เงินให้กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือว่า การออกตั๋วเงินนั้นย่อมสันนิษฐานว่า ผู้ออกตั๋วเงินได้กระทำการเพื่อชำระหนี้มิใช่กระทำการเพื่อก่อให้เกิดหนี้ในคดีเรื่องนี้ รูปเรื่องก็ปรากฏว่า โจทก์ออกเช็คเพื่อชำระค่าไม้ที่บริษัทเฮียบเฮงหลีขายหรือจะขายให้โจทก์บริษัทเฮียบเฮงหลี จำกัด จำเลยที่ 1 ส่งไม้ให้ไม่ครบจำนวน โจทก์จึงเรียกเงินที่จ่ายเกินไปนั้นคืนและศาลก็ได้พิพากษาบังคับให้จำเลยที่ 1 รับผิด คืนเงินจำนวนนั้นให้โจทก์แล้ว ฯลฯ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
จึงพิพากษายืน