แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยเพิ่งอ้างเอกสาร-เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว ทั้งๆที่จำเลยรู้มาก่อนว่าเอกสารดังกล่าวมีอยู่ที่กองทะเบียนกรมตำรวจ กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคท้าย ศาลจึงไม่อนุญาตให้จำเลยอ้างเอกสารดังกล่าวเป็นพยานเพิ่มเติมได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เนื่องจากจำเลยขับรถชนรถโจทก์ทำให้โจทก์เสียความสามารถทั้งร่างกาย จิตใจและระบบประสาท ไม่สามารถทำงานหนักและในตำแหน่งสูงต่อไปได้ เพราะทำให้ผู้บังคับบัญชาและนายงานไม่ไว้วางใจในความสามารถ ขอคิดค่าเสียหาย 40,000 บาท คำบรรยายฟ้องของโจทก์เช่นนี้เป็นการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่เป็นตัวเงินที่ควรจะได้ในอนาคต ไม่ใช่เป็นการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัย ซึ่งไม่ใช่ตัวเงิน กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446
แม้โจทก์จะฟ้องเรียกราคารถยนต์ทั้งคัน แต่การที่รถยนต์โจทก์ถูกชนพังใช้การไม่ได้นั้น ไม่ใช่ว่าโจทก์จะซื้อรถยนต์มาใช้แทนได้ทันที โจทก์จำเป็นต้องใช้เวลาตระเตรียมในการซื้อรถยนต์บ้าง ในระหว่างที่โจทก์กำลังตระเตรียมหาซื้อรถยนต์นั้น โจทก์ต้องเสียค่ารถแท๊กซี่ จึงเป็นความเสียหายที่โจทก์ได้รับเพราะการละเมิดของจำเลย จำเลยต้องชดใช้ให้โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๑๖เวลาประมาณ ๑ นาฬิกาเศษ โจทก์ขับรถยนต์เก่งยี่ห้อฮีโน หมายเลขทะเบียน ก.ท.ง ๑๐๑๘ ของโจทก์ไปตามถนนสุขุมวิทมุ่งหน้าไปทางสี่แยกราชประสงค์ ครั้นถึงสามแยกถนนอโศกสัญญาณไปจราจรตรงสามแยกเปิดแดงโจทก์หยุดรถในช่องเดินรถที่ ๓ เพื่อจะรอเลี้ยวขวาไปทางถนนอโศก จำเลยขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท.ว. ๕๒๖๐ตามหลังโจทก์มา แต่ด้วยความมึนเมาสุราและขับด้วยความเร็วสูงเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ประกอบด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงปราศจากความระมัดระวัง รถที่จำเลยขับได้แล่นพุ่งเข้าชนท้ายรถยนต์ของโจทก์อย่างแรง เป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์เสียหายใช้การไม่ได้อีกต่อไปโจทก์ได้รับบาดเจ็บถึงสลบมีอาการทุพพลภาพเจ็บป่วยด้วยอาการทุกขเวทนานับตั้งแต่วันเกิดเหตุจนถึงวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๑๖ เป็นเวลา ๓๖ วัน จึงสามารถไปประกอบกิจการงานได้แต่ยังไม่ปกติดังเดิม การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายคือ รถยนต์เสียหายใช้การไม่ได้ทั้งคันเป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ทรัพย์สินของโจทก์เก็บไว้ในรถยนต์สูญหายไปรวมราคา ๗,๖๒๐ บาท (ระบุรายการไว้ด้วย) ค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ๔,๗๙๒ บาท ค่าจ้างคนเฝ้าพยาบาลวันละ ๗๐ บาท รวม ๒๗ วัน ๑,๘๙๐ บาท ค่ารักษาตัวที่บ้านตั้งแต่วันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๑๖ จนถึงวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๑๖ เป็นเงิน ๓,๐๐๐ บาท โจทก์ต้องลาหยุดงาน ๓๖ วัน ขาดรายได้ไป ๙,๒๐๐ บาท ๒๐ สตางค์ โจทก์และภริยาร่วมกันรับจ้างตัดเสื้อผ้าสำเร็จรูป มีรายได้วันละ ๗๐ บาท เมื่อโจทก์ต้องป่วยและภริยาต้องหยุดประกอบอาชีพมาเฝ้าพยาบาลโจทก์ขายรายได้ไป ๒,๕๒๐ บาท โจทก์เสียความสามารถทั้งทางร่ายการ จิตใจ และระบบประสาท ไม่สามารถทำงานหนักและในตำแหน่งสูงต่อไปได้ เพราะทำให้ผู้บังคับบัญชาและนายงานไม่ได้วางใจในความสามารถ ขอคิดค่าเสียหาย ๔๐,๐๐๐ บาท ขณะโจทก์รักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจภริยาโจทก์จำต้องไปดูแล ๒๗ วัน ค่าจ้างแท๊กซี่วันละอย่างน้อย ๒๐ บาทเป็นเงิน ๕๔๐ บาท เมื่อโจทก์ต้องป่วยเจ็บและรถยนต์พังใช้ไม่ได้ ภริยาไปและกลับทำงานและส่งรับบุตรไปกลับโรงเรียนต้องเสียค่าจ้างรถแท๊กซี่วันละ ๖๐ บาท ตั้งแต่วันเกิดเหตุจนถึงวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๑๖ เป็นเวลา ๓๖ วัน เป็นเงิน ๒,๑๖๐ บาท โจทก์ภริยาไปและกลับทำงานและส่งรับบุตรไปกลับโรงเรียนเสียค่าจ้างรถแท๊กซี่วันละ ๘๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ซึ่งเป็นวันแรกที่โจทก์เริ่มทำงานได้จนถึงวันฟ้องเป็นเวลา ๕๐ วันเป็นเงิน ๔,๐๐๐ บาท รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น ๙๕,๗๒๒ บาท ๒๐ สตางค์ ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวให้โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ และชำระค่าจ้างรถแท๊กซี่รับส่งโจทก์ภริยาและบุตรไปกลับทำทงานและโรงเรียนวันละ ๘๐ บาทตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยขับรถยนต์ในอัตราความเร็วตามกฎหมาย ไม่ได้มึนเมาสุรา โจทก์หักรถเลี้ยวอย่างกะทันหันเข้าจอด จำเลยไม่สามารถหยุดรถได้ทันจึงชนด้านท้ายรถยนต์ของโจทก์ รถชนกันจึงเป็นความผิดของโจทก์เอง โจทก์ไม่ได้รับความผิดตามฟ้อง กล่าวคือรถยนต์ของโจทก์เก่าใช้มาเกิน ๑๕ ปีแล้ว ราคาอย่างสูงไม่เกิน ๖,๐๐๐ บาท ค่าซ่อมไม่เกิน ๓,๐๐๐ บาท ทรัพย์สินที่ว่าหายความจริงไม่มี หากจะมีก็เป็นความผิดของโจทก์เองที่ไม่แจ้งให้ผู้ใดเฝ้าหรือแจ้งให้ตำรวจรักษาและเป็นค่าเสียหายที่ไกลต่อเหตุจำเลยไม่ต้องรับผิด โจทก์ไม่ต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาลเพราะแพทย์ลงความเห็นว่ารักษาเพียง ๑๘ วันก็หาย ค่ารักษาไม่เกิน ๕๐๐ บาท และไม่จำต้องจ้างคนเฝ้ารักษาพยาบาล โจทก์ไม่ต้องรักษาตัวที่บ้านทั้งไม่ระบุว่าเป็นค่ารักษาพยาบาลอะไรเป็นฟ้องเคลือบคลุม ค่าขาดรายได้จากการหยุดงานเป็นเรื่องของอนาคตที่ไม่แน่นอน ไม่ใช่ค่าเสียหายตามกฎหมาย ทั้งไม่ได้ระบุรายการ เป็นฟ้องเคลือบคลุม โจทก์จะขาดรายได้จากการรับจ้างตัดเสื้อผ้าสำเร็จรูปหรือไม่ จำเลยไม่รับรอง หากโจทก์รับจ้างเช่นนั้นจริงก็ไม่มีรายได้เช่นนี้ทุกวัน โจทก์หายเป็นปกติแล้วจะเรียกค่าเสียหายในอนาคตไม่ได้ โจทก์ไม่จำต้องนอนรักษาที่โรงพยาบาล ภริยาโจทก์ไม่จำเป็นต้องไปเฝ้าโจทก์ทุกวัน การไปทำงานและรับส่งบุตรไปโรงเรียนไม่จำเป็นต้องจ้างรถแท๊กซี่ อาจใช้รถประจำทางได้
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ๑๙,๒๐๑ บาท
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ๓๔,๓๒๑ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยได้อ้างคำแจ้งความเรื่องโอนและรับโอนทะเบียนรถยนต์ ซึ่งด้านหลังมีบันทึกการซื้อขายรถยนต์ซึ่งโจทก์เป็นผู้ซื้อในราคา ๕,๐๐๐ บาท เอกสารนี้ได้เข้ามาในสำนวนแล้ว แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้จำเลยอ้างเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมขอศาลฎีกาอนุญาตให้จำเลยอ้าง โจทก์ก็ใช้รถยนต์นี้มาเกือบ ๕ ปีเศษแล้ว รถยนต์ควรมีราคา ๕,๐๐๐ บาทตามที่ซื้อมานั้น ปรากฏว่าที่ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้จำเลยอ้างเอกสารดังกล่าวนั้น ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยรู้มาก่อนแล้วว่าเอกสารนั้นมีอยู่ที่กองทะเบียนกรมตำรวจฎีกาของจำเลยไม่ได้คัดค้านว่าจำเลยไม่รู้มาก่อน ในชั้นฎีกาจึงต้องฟังว่าจำเลยรู้มาก่อนแล้ว การที่จำเลยเพิ่งอ้างเอกสารดังกล่าวเมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว ทั้ง ๆ ที่จำเลยก็รู้มาก่อนว่าเอกสารดังกล่าวมีอยู่ที่กองทะเบียน กรมตำรวจ กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๘๘ วรรคท้าย ศาลฎีกาจึงไม่อนุญาตให้จำเลยอ้างเอกสารดังกล่าวเป็นพยานเพิ่มเติม
ที่โจทก์ฎีกาว่า ควรให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์อันเนื่องจากโจทก์ต้องเสื่อมสุขภาพและเจ็บป่วยทนทุกขเวทนาแก่ร่างกายและจิติใจเป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท เท่าที่โจทก์ได้ขอมาในชั้นอุทธรณ์และจำเลยฎีกาว่าไม่ต้องชดใช้แก่โจทก์ นั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ปรากฏว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า เนื่องจากจำเลยขับรถชนรถโจทก์ ทำให้โจทก์เสียความสามารถทั้งร่างกาย จิตใจและระบบประสาทไม่สามารถทำงานหนักและในตำแหน่งสูงต่อไปได้ เพราะทำให้ผู้บังคับบัญชาและนายงานไม่ไว้วางใจในความสามารถ ขอคิดค่าเสียหาย ๔๐,๐๐๐ บาท ศาลฎีกาเห็นว่า คำบรรยายฟ้องของโจทก์เช่นนี้เป็นการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่เป็นตัวเงินที่ควรจะได้ในอนาคต ไม่ใช่เป็นการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยซึ่งไม่ใช่ตัวเงิน กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๖ ที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นอ้าง ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย ๑๐,๐๐๐ บาท ให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๖ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
ที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ต้องเสียค่าจ้างรถแท๊กซี่สำหรับภริยาไปดูแลโจทก์ที่โรงพยาบาลและสำหรับโจทก์ ภริยาและบุตรไปและกลับทำงานและโรงเรียน อันเนื่องมาจากรถยนต์โจทก์ฟังใช้การไม่ได้รวมเป็นเงิน ๖,๗๐๐ บาท นั้น จำเลยฎีกาในปัญหาข้อนี้ว่า โจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายเวลาซ่อมรถยนต์แต่เรียกร้องเป็นเงินค่ารถยนต์ทั้งคัน โจทก์จะเสียหายก็เพียงดอกเบี้ยเท่านั้น แต่โจทก์ไม่เรียกร้องดอกเบี้ยในชั้นอุทธรณ์ ในชั้นฎีกาจึงไม่มีประเด็นในเรื่องดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ให้จำเลยชดใช้ค่าจ้างรถยนต์แท๊กซี่ให้โจทก์ ๓,๕๐๐ บาทเป็นการไม่ชอบ ฎีกาของจำเลยดังกล่าวแล้วศาลฎีกาเห็นว่าแม้โจทก์จะฟ้องเรียกราคารถยนต์ทั้งคันแต่การที่รถยนต์โจทก์ถูกชนพังใช้การไม่ได้นั้น ไม่ใช่ว่าโจทก์จะซื้อรถยนต์มาใช้แทนได้ในทันที โจทก์จำเป็นต้องใช้เวลาตระเตรียมในการซื้อรถยนต์บ้าง ในระหว่างที่โจทก์กำลังตระเตรียมหาซื้อรถยนต์นั้นโจทก์ต้องเสียค่าจ้างรถแท๊กซี่ จึงเป็นความเสียหายที่โจทก์ได้รับเพราะการละเมิดของจำเลย จำเลยต้องชดใช้ให้โจทก์
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ๓๓,๓๒๑ บาท