แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีอาญาที่อาจยอมความกันได้ที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้องนั้นไม่จำต้องระบุในฟ้องว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์แล้ว เพราะไม่ใช่องค์ประกอบแห่งความผิด (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 40/2504)
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงสีไพร ศิลาจันทร์ อายุ 12 ปี ซึ่งมิใช่ภริยาของจำเลยจนสำเร็จความใคร่ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 277
จำเลยปฏิเสธ
ศาลจังหวัดนครราชสีมาเชื่อว่าจำเลยได้ขืมขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจริง ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276เพียงมาตราเดียว เพราะผู้เสียหายอายุเกิน 13 ปีแล้ว ให้จำคุก 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์ข้อเท็จจริง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ความผิดตามมาตรา 276 เป็นความผิดอันยอมความได้ตามมาตรา 281 โจทก์จะมีอำนาจฟ้องต่อเมื่อได้มีการร้องทุกข์แล้วคดีนี้คำฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวว่าได้มีการร้องทุกข์ตามกฎหมายแล้วหรือไม่ คดีไม่มีทางลงโทษจำเลย จึงให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ทางพิจารณาได้ความว่า ผู้เสียหายได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าพนักงานตำรวจว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ เจ้าพนักงานจึงจับจำเลยในวันกระทำผิดส่งพนักงานสอบสวน ๆ แล้ว
ส่วนปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์ว่า ในฟ้องโจทก์มิได้กล่าวว่าได้มีการร้องทุกข์ คดีไม่มีทางลงโทษจำเลย นั้น ศาลฎีกาได้มีมติที่ประชุมใหญ่ว่า คดีอาญาที่อาจยอมความกันได้ที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้องนั้น ไม่จำต้องระบุในฟ้องว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์แล้ว เพราะไม่ใช่องค์ประกอบแห่งการกระทำผิด
คดีนี้ ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี