แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยใช้กำลังกระชากสร้อยจนขาดจากคอผู้เสียหาย และพวกจำเลยในกลุ่มที่วิ่งหนีได้ใช้ปืนยิงพวกผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ เมื่อกำลังวิ่งไล่ติดตามพวกคนร้ายอย่างกระชั้นชิด เป็นการลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์ พาเอาทรัพย์นั้นไปให้พ้นจากการจับกุมการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ และเมื่อมีผู้กระทำความผิดตั้งแต่สามคนขึ้นไปโดยใช้ปืนยิงเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายแล้วก็เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสี่
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวน ศาลสั่งพิจารณาพิพากษารวมกัน
โจทก์ฟ้องและยื่นคำร้องเพิ่มเติมฟ้องใจความอย่างเดียวกันว่าจำเลยทั้งสองสำนวนกับพวกซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง และพวกอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นเยาวชนได้แยกฟ้องยังศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางต่างหากได้ร่วมกันกระทำผิดกฎหมาย สมคบกันมีอาวุธปืนไปทำการปล้นทรัพย์ของนางสงวน ได้ใช้กำลังกายกดคอนางสงวน และใช้อาวุธปืนยิงนายกิมซ้วนซึ่งเข้าทำการจับกุม เพื่อให้เป็นความสะดวกแก่การปล้นทรัพย์ และเพื่อให้พ้นจากการจับกุม เจ้าพนักงานได้อาวุธและกระสุนปืนจากจำเลยที่ 1 นายหนุ่มจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีแดงที่ 3115/2510 ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสองและวรรคสี่ และมาตรา 83 และให้นับโทษนายหนุ่มจำเลยต่อจากคดีอาญาแดงที่ 3115/2510
จำเลยที่ 1 และ 2 ให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดฐานชิงทรัพย์ต่อมาได้ถอนคำให้การเดิม และให้การใหม่ว่าได้กระทำผิดฐานวิ่งราวทรัพย์
จำเลยที่ 3 และนายหนุ่มจำเลยให้การปฏิเสธ นายหนุ่มรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในสำนวนคดีอาญาแดงที่ 3115/2510
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 กับนายหนุ่มจำเลยกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรค 4 วางโทษจำคุกคนละ 20 ปี จำเลยที่ 1 อายุ 18 ปีลดโทษให้ตามมาตรา 76 จำคุก 15 ปี คำรับของจำเลยเป็นประโยชน์แก่ทางพิจารณา ลดให้คนละ 1 ใน 3 ตามมาตรา 78 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 สิบปีจำเลยที่ 2 และนายหนุ่มจำเลยคนละ 13 ปี 4 เดือน ให้นับโทษนายหนุ่มจำเลยต่อจากสำนวนคดีอาญาแดงที่ 3115/2510 ของกลางริบ ส่วนจำเลยที่ 3ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายหนุ่มอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยทั้งสามกระทำผิดจริง และเห็นด้วยที่ศาลชั้นต้นลดโทษให้จำเลยที่ 1 ซึ่งมีอายุ 18 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 แต่ที่ศาลชั้นต้นลดมาตราส่วนโทษให้แล้วคงจำคุกจำเลยที่ 1ในสำนวนแรก 15 ปีนั้น เห็นว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 บัญญัติว่าถ้าศาลเห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นลงหนึ่งในสาม หรือกึ่งหนึ่งก็ได้ ที่ศาลชั้นต้นจะลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยที่ 1 มานั้นเป็นการไม่ถูกต้องตามมาตรา 76 สมควรลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยที่ 1ในสำนวนแรกหนึ่งในสาม จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่ 1 ในสำนวนแรกมีอายุ 18 ปี ลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นคงหนึ่งในสามตามมาตรา 76 คงจำคุกจำเลยที่ 1 ในสำนวนแรกสิบสามปีสี่เดือน และมีเหตุบรรเทาโทษเพราะคำรับของจำเลยทั้งสามเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่มาก ลดโทษให้จำเลยทั้งสามคนละหนึ่งในสามตามมาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 ในสำนวนแรกแปดปีสิบเดือนยี่สิบวัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสาม
นายชุ่ม ด้วงเอี่ยม และนายหนุ่ม รอดบุบผา จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า นายชุ่มจำเลยที่ 2 กับนายหนุ่มได้ร่วมกันกระทำความผิด ที่นายชุ่มจำเลยฎีกาว่า จำเลยกระทำผิดวิ่งราวทรัพย์เท่านั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่ามีนายหนุ่มจำเลยได้ร่วมกระทำผิดด้วย นอกจากนั้นยังได้ความจากพยานโจทก์ว่า นายหนุ่มจำเลยได้ใช้กำลังกระชากสร้อยจนขาดจากคอ ตอนนายหนุ่มจำเลยหกล้มแล้ว พวกในกลุ่มที่วิ่งหนีได้ใช้ปืนยิงนายกิมซ้วนได้รับบาดเจ็บ เมื่อกำลังวิ่งไล่ติดตามพวกคนร้ายอย่างกระชั้นชิดเช่นนี้ เป็นการลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์พาเอาทรัพย์นั้นไปให้พ้นจากการจับกุม การกระทำดังกล่าวจึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ ไม่ใช่เป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ดังที่นายชุ่มจำเลยฎีกา และเมื่อปรากฏว่ามีผู้ร่วมกระทำความผิดตั้งแต่สามคนขึ้นไป โดยใช้ปืนยิงเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายแล้วก็เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 4
พิพากษายืน