คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1496/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอไล่จำเลยออกจากห้องเช่า โดยอ้างว่าจำเลยอาศัย จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์จำเลยและทายาทคนอื่นต่างเป็นผู้เช่าด้วยกัน เพราะอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ครั้งบิดาเป็นผู้เช่า ครั้นบิดาตายแล้ว ทายาททุกคนต่างก็แสดงเจตนาขอเช่าทุกคน แต่เพื่อความสดวกในการทำสัญญาเช่า จึงให้โจทก์ผู้เดียวเป็นผู้เซ็นสัญญาแทน ดังนี้ จำเลยย่อมนำสืบความจริงได้ เพราะเป็นการสืบความจริงระหว่างตัวแทนตัวการ มิใช่เป็นการสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสารสัญญาเช่า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าที่โจทก์เช่ามาโดยอ้างว่าจำเลยอาศัย
จำเลยต่อสู้ว่า ไม่ได้อาศัยห้องเช่าพิพาทเดิมบิดาโจทก์จำเลยเป็นผู้เช่าจากเจ้าของ ต่อมาบิดาตาย บรรดาทายาทคงอยู่อาศัยและค้าขายในตึกรายพิพาทร่วมกัน ต่อมาโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของบิดา ตามคำสั่งศาลทายาททุกคนได้แสดงเจตนาขอเช่าตึกพิพาทต่อไป แต่เพื่อความสดวกได้ให้โจทก์เป็นผู้เซ็นสัญญาเช่าแทน ฯลฯ
ศาลชั้นต้นฟังตามข้อต่อสู้ของจำเลย จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีเช่นนี้ศาลฎีกาเคยวินิจฉัยไว้แล้วว่า การที่จำเลยสืบว่าโจทก์อยู่ในฐานะที่เป็นตัวแทนของจำเลยนั้นเป็นการนำสืบความจริงในระหว่างตัวแทนกับตัวการอันเป็นลักษณะส่วนหนึ่งแห่งกฎหมาย มิใช่เป็นการสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสารสัญญาเช่า จึงชอบที่กระทำได้ ทั้งเป็นการตีความที่ตรงกับเจตนาด้วย จึงพิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์

Share