คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1495/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ขอมาท้ายฟ้องว่า ราคาเนื้อกระบือที่จำเลยร่วมกันลักไปมีราคา 8,900 บาท แต่โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าเนื้อกระบือที่ถูกลักไปนั้นมีจำนวน น้ำหนักและราคาในท้องตลาดขณะนั้นเท่าใด คำนวณได้ยอดดังกล่าวมาอย่างไร คงนำสืบเพียงว่าจำเลยคนใดลักเนื้อกระบือส่วนไหนไปเท่านั้น โจทก์จึงนำสืบเรื่องราคาทรัพย์ไว้ไม่สมฟ้องและไม่มีข้อมูลให้ศาลคำนวณเพื่อกำหนดตามราคาอันแท้จริงขึ้นได้ ดังนี้ศาลจึงไม่ต้องกำหนดราคาทรัพย์ซึ่งจำเลยจะต้องใช้ให้แก่เจ้าทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 47 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1163/2509)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยอาศัยโอกาสที่เกิดเหตุรถไฟชนกระบือ ๑ ตัวของผู้เสียหาย ได้ร่วมกันชำแหละลักเอาเนื้อกระบือหนัก ๓๒๓ กิโลกรัม ราคา ๘,๙๐๐ บาท ของผู้เสียหายไปโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕, ๘๓ และสั่งจำเลยร่วมกันใช้ราคาเนื้อกระบือเป็นเงิน ๘,๙๐๐ บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสิบเจ็ดให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษากลับ ว่าจำเลยทั้งสิบเจ็ดมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ ให้ลงโทษจำคุกจำเลยคนละ ๖ เดือน ปรับคนละ ๑,๐๐๐ บาท ให้รอการลงโทษจำคุกมีกำหนด ๑ ปี เนื้อและชิ้นส่วนกระบือที่จำเลยลักฟังไม่ได้ว่ามีราคาเท่าใดแน่ไม่อาจบังคับให้จำเลยใช้ราคาตามขอ ให้ยกคำขอข้อนี้เสีย
โจทก์ฎีกา ขอให้จำเลยทั้งสิบเจ็ดร่วมกันใช้ราคาเนื้อกระบือเป็นเงิน ๘,๙๐๐ บาท แก่ผู้เสียหายด้วย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทุกคนจะต้องร่วมกันใช้ราคาเนื้อกระบือแก่ผู้เสียหายตามที่โจทก์ขอมาหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๗ วรรคสอง บัญญัติว่า “ราคาทรัพย์สินที่สั่งให้จำเลยใช้แก่ผู้เสียหาย ให้ศาลกำหนดตามราคาอันแท้จริง…” แปลว่า จำเลยทุกคนจะต้องร่วมกันใช้ราคาเนื้อกระบือแก่ผู้เสียหายคดีนี้แน่ เป็นแต่ว่าราคาดังกล่าวต้องกำหนดตามราคาอันแท้จริงเท่านั้น คดีนี้โจทก์ขอมาท้ายฟ้องว่าราคาเนื้อกระบือที่จำเลยร่วมกับพวกลักไปมีราคา ๘,๙๐๐ บาท แต่โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าเนื้อกระบือที่ถูกลักไปนั้นมีจำนวน น้ำหนัก และราคาในท้องตลาดขณะนั้นเท่าใด คำนวณได้ยอดดังกล่าวมาอย่างไร คงนำสืบเพียงว่าจำเลยคนใดลักเนื้อกระบือส่วนไหนไปเท่านั้นโจทก์จึงนำสืบเรื่องราคาทรัพย์ไว้ไม่สมฟ้องและไม่มีข้อมูลให้ศาลคำนวณเพื่อกำหนดราคาอันแท้จริงขึ้นได้ ดังนี้ศาลจึงไม่ต้องกำหนดราคาทรัพย์ซึ่งจำเลยจะต้องใช้ให้แก่เจ้าทรัพย์ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๖๓/๒๕๐๙ ระหว่างพนักงานอัยการ กรมอัยการ โจทก์ นายวิชาญ ชัยศิริ จำเลย เรื่อง วิ่งราวทรัพย์ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share