แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ห้องนอนที่พบเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นห้องนอนเล็กๆ มีที่นอนและตู้เสื้อผ้าสำหรับคนเพียงคนเดียว ซึ่งในบันทึการตรวจค้นจับกุมก็ระบุว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางซุกซ่อนอยู่ที่ซับในหมวกนิรภัยซึ่งวางอยู่พื้นห้องนอนของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 เป็นผู้นำเจ้าพนักงานตรวจค้น ทั้งกระสุนปืนขนาดต่างๆ ที่พบในห้องนอนดังกล่าวก็เป็นของจำเลยที่ 1 ประกอบกับบ้านเกิดเหตุมี 2 ห้องนอน จึงเชื่อว่าห้องนอนที่พบเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นห้องนอนของจำเลยที่ 1 ไม่ใช่ห้องนอนของจำเลยที่ 2 เมื่อเมทแอมเฟตามีนซุกซ่อนอยู่ในซับในของหมวกนิรภัย บุคคลอื่นจึงไม่อาจมองเห็นได้จากภายนอก ดังนั้น จำเลยที่ 2 ย่อมไม่รู้ว่ามีเมทแอมเฟตามีนของกลางซุกซ่อนในหมวกนิรภัย เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมอ้างว่า จำเลยที่ 2 มีพฤติการณ์ในการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แต่ก็ไม่มีหลักฐานใดๆ หรือรูปถ่ายที่แสดงให้เห็นว่ามีการติดตามความเคลื่อนไหวหรือพฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ในการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน โจทก์มีเพียงพยานเบิกความกล่าวอ้างลอยๆ จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง พยานโจทก์อีกสองปากต่างก็เบิกความยืนยันว่า เคยซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 และที่ 3 เท่านั้น ไม่เคยซื้อจากจำเลยที่ 2 แม้ ร.ต.อ. ธ.พนักงานสอบสวนจะเบิกความประกอบคำให้การในชั้นสอบสวนของ ส. ว่า ได้สอบปากคำ ส. เพื่อร่วมงานของจำเลยทั้งสามและ ส. ให้การว่าเคยซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยทั้งสาม แต่โจทก์ก็ไม่นำ ส. มาเบิกความเพื่อให้ทนายจำเลยที่ 2 ถามค้านเพื่อพิสูจน์ พยานคำให้การดังกล่าวจึงมีน้ำหนักน้อย นอกจากนี้แล้วโจทก์ไม่มีพยานอื่นใดมานำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 มีพฤติการณ์หรือร่วมรู้เห็นกับจำเลยที่ 1 ในการมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เช่นนี้ แม้จำเลยที่ 2 จะอยู่กับจำเลยที่ 1 ขณะเจ้าพนักงานจับกุมก็ไม่อาจสันนิษฐานเป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 2 ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ลำพังคำรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นเพียงพยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อย ทั้งจำเลยที่ 2 ก็นำสืบปฏิเสธว่าไม่ได้ให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำเลยที่ 1 ก็เบิกความเป็นพยายจำเลยที่ 2 ยืนยันว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย พยานหลักฐานของโจทก์เท่าที่นำสืบมาจึงไม่มีน้ำหนักพอให้ฟังว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
บัญชีของกลาง 2 แผ่น มิใช่เครื่องมือเครื่องใช้หรือวัสดุอื่นซึ่งใช้ในการกระทำความผิดตามมาตรา 102 แห่ง พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษฯ และไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 33 (1) จึงไม่อาจริบได้ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกจำเลยที่ 1 สำนวนแรกว่า จำเลยที่ 1 เรียกจำเลยที่ 2 สำนวนแรก กับจำเลยที่ 1 สำนวนหลังว่า จำเลยที่ 2 และเรียกจำเลยที่ 3 สำนวนแรก กับจำเลยที่ 2 สำนวนหลังว่าจำเลยที่ 3
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67, 102 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 55, 72, 78 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91 และริบเมทแอมเฟตามีนกับบัญชีของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง , 66 วรรคหนึ่ง (ที่ถูก 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่)) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกคนละ 7 ปี และจำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 55, 72 วรรคสอง, 78 วรรคหนึ่ง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ปรับ 1,000 บาท และฐานมีเครื่องกระสุนปืนซึ่งนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย จำคุก 2 ปี จำเลยที่ 1 รวมโทษจำคุก 9 ปี ปรับ 1,000 บาท จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ และชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษจำเลยที่ 1 ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง จำเลยที่ 2 ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำเลยที่ 1 คงจำคุก 4 ปี 6 เดือน ปรับ 500 บาท จำเลยที่ 2 คงจำคุก 4 ปี 8 เดือน หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์ ยกฟ้องจำเลยที่ 3
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ส่วนจำเลยที่ 1 สำหรับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายให้ลงโทษจำคุก 6 ปี ความผิดฐานมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ลงโทษปรับ 100 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำเลยที่ 1 ให้จำคุก 3 ปี และปรับ 50 บาท เมื่อรวมกันโทษฐานมีเครื่องกระสุนปืนซึ่งนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นจำคุก 4 ปี ปรับ 50 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตารมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ริบบัญชี 2 แผ่น ของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 124 เม็ด ของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและคดีสำหรับจำเลยที่ 3 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ไม่อุทธรณ์คดีในส่วนของจำเลยที่ 3 จึงยุติคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย หรือไม่ โจทก์มีพันตำรวจตรีสุขสันต์ และสิบตำรวจเอกอเนกเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมเป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า เจ้าพนักงานตำรวจสืบทราบว่าจำเลยทั้งสามมีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้คนงานในบริษัทไดซินโคเกียว จำกัด โดยจำเลยทั้งสามพักอยู่ที่บ้านเกิดเหตุ ในวันเกิดเหตุเวลา 7.30 นาฬิกา พยานทั้งสองกับพวกจึงไปตรวจค้นบ้านเกิดเหตุพบจำเลยที่ 1 และที่ 2 อยู่ในห้องนอน และนายกวียุทธ อยู่ภายในบ้าน จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นเจ้าของบ้านผลการตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีน 124 เม็ด ห่อหุ้มด้วยพลาสติกซุกซ่อนอยู่ในหมวกนิรภัยวางอยู่ที่พื้นห้องนอน จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับว่า ซื้อเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวมาเพื่อจำหน่าย และพันตำรวจตรีสุขสันต์เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 3 ถามค้านว่า ภายในห้องนอนไม่มีเตียง มีแต่ฟูก 1 ลูก และตู้เสื้อผ้า 1 ตู้ บ้านที่เกิดเหตุเป็นบ้านชั้นเดียว 2 ห้องนอน ส่วนสิบตำรวจเอกอเนกเบิกความตอบโจทก์ถามติงว่าห้องนอนเป็นห้องเล็กๆ ไม่กว้าง พยานกับพวกยืนอยู่หน้าห้องนอน เห็นว่า ห้องนอนที่พบเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นห้องนอนเล็กๆ มีที่นอนและตู้เสื้อผ้าสำหรับคนเดียงคนเดียว ซึ่งในบันทึกการตรวจค้นจับกุม เอกสารหมาย จ.3 ก็ระบุว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางซุกซ่อนอยู่ที่ซับในหมวกนิรภัยซึ่งวางอยู่พื้นห้องนอนของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 เป็นผู้นำเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้น ทั้งกระสุนปืนขนาดต่างๆ ที่พบในห้องนอนดังกล่าวก็เป็นของจำเลยที่ 1 ประกอบกับบ้านเกิดเหตุมี 2 ห้องนอน จึงเชื่อว่า ห้องนอนที่พบเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นห้องนอนของจำเลยที่ 1 ไม่ใช่ห้องนอนของจำเลยที่ 2 เมื่อเมทแอมเฟตามีนซุกซ่อนอยู่ในซับในของหมวกนิรภัย บุคคลอื่นจึงไม่อาจมองเห็นได้จากภายนอก ดังนั้น จำเลยที่ 2 ย่อมไม่รู้ว่ามีเมทแอมเฟตามีนของกลางซุกซ่อนอยู่ในหมวกนิรภัย เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมอ้างว่า จำเลยที่ 2 มีพฤติการณ์ในการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แต่ก็ไม่มีหลักฐานใดๆ หรือรูปถ่ายที่แสดงให้เห็นว่ามีการติดตามความเคลื่อนไหวหรือพฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ในการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน โจทก์มีเพียงพยานเบิกความกล่าวอ้างลอยๆ จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง อย่างไรก็ดีนายกวียุทธ และนายเอกชัย พยานโจทก์ต่างก็เบิกความยืนยันว่า เคยซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 และที่ 3 เท่านั้น ไม่เคยซื้อจากจำเลยที่ 2 แม้ร้อยตำรวจเอกธนะวุฒิ พนักงานสอบสวนจะเบิกความประกอบคำให้การในชั้นสอบสวนของ นายสงวน เอกสารหมาย จ.6 ว่า ได้สอบปากคำนายสงวนเพื่อนร่วมงานของจำเลยทั้งสามและนายสงวนให้การว่าเคยซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยทั้งสาม แต่โจทก์ก็ไม่นำนายสงวนมาเบิกความเพื่อให้ทนายจำเลยที่ 2 ถามค้านเพื่อพิสูจน์พยาน คำให้การดังกล่างจึงมีน้ำหนักน้อยนอกจากนี้แล้วโจทก์ก็ไม่มีพยานอื่นใดมานำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 มีพฤติการณ์หรือร่วมรู้เห็นกับจำเลยที่ 1 ในการมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เช่นนี้ แม้จำเลยที่ 2 จะอยู่กับจำเลยที่ 1 ขณะเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมก็ไม่อาจสันนิษฐานเป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 มีเมทเอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ลำพังคำรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นเพียงพยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อย ทั้งจำเลยที่ 2 ก็นำสืบปฏิเสธไม่ได้ให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำเลยที่ 1 ก็เบิกความเป็นพยานจำเลยที่ 2 ยืนยันว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย พยานหลักฐานของโจทก์เท่าที่นำสืบมาจึงไม่มีน้ำหนักพอให้ฟังว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง สำหรับบัญชีของกลาง 2 แผ่น มิใช่เครื่องมือเครื่องใช้หรือวัตถุอื่นซึ่งใช้ในการกระทำความผิด ตามมาตรา 102 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) จึงไม่อาจริบได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้”
พิพากษายืน แต่ให้ยกคำขอให้ริบบัญชีของกลาง 2 แผ่น โดยให้คืนแก่เจ้าของ