คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เดิมที่พิพาทเป็นที่ชายตลิ่งที่น้ำท่วมถึงจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(2)ที่พิพาทเพิ่งกลายเป็นที่งอกหลังจากมีการสร้างถนนเมื่อ 4 ถึง 5 ปี มานี้ ดังนั้นก่อนหน้าที่พิพาทเป็นที่งอกแม้โจทก์จะครอบครองมานานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ หลังจากที่พิพาทกลายเป็นที่งอกที่เชื่อมติดกับที่ดินของจำเลยที่ 1 ที่งอกพิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ด้วย เมื่อโจทก์ครอบครองยังไม่ถึง 10 ปี โจทก์จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ตามมาตรา 1382

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ อยู่ที่หมู่ที่ 5 ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ประมาณ 72 ตารางวา โดยครอบครองและทำประโยชน์มาประมาณ 30 ปีต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดินดังกล่าวโดยอ้างว่าเป็นที่งอกออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 530 ของจำเลยที่ 1 ต่อจำเลยที่ 2 ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี จำเลยที่ 2 เห็นว่าไม่ใช่ที่ดินสาธารณะสามารถออกโฉนดที่ดินได้ จึงให้ช่างรังวัดไปรังวัดที่ดินเพื่อออกโฉนดที่ดินให้จำเลยที่ 1 โจทก์ยื่นคำคัดค้านจำเลยที่ 2 เรียกโจทก์และจำเลยที่ 1 ไปทำการสอบสวนเปรียบเทียบ และมีคำสั่งออกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 และระบุว่าหากโจทก์ไม่พอใจคำสั่งดังกล่าวให้ฟ้องต่อศาลภายใน 60 วัน ขอให้พิพากษาว่า โจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่พิพาท ห้ามจำเลยที่ 1 เข้ามายุ่งเกี่ยวและขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 2 ลงวันที่ 11 พฤษภาคม 2525 ที่มีคำสั่งให้ออกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 2 ดำเนินการออกโฉนดที่พิพาทให้แก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของและไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาทที่ดินดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 1 โดยชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากเป็นที่ดินซึ่งงอกออกจากที่ดินของจำเลยที่ 1 ที่พิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ตามกฎหมายจำเลยที่ 1 ใช้สิทธิครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ดินทั้งแปลงตลอดมา โจทก์มิได้เข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณาโจทก์ถึงแก่กรรม นางสาวสุมาลี บุญอนันต์ ทายาทของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต ส่วนจำเลยที่ 1 ตกเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ นางนันทิยา จันทรพิทักษ์ ผู้พิทักษ์ได้ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ดำเนินคดีต่อไปได้ และโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ทนายจำเลยที่ 2 ไม่ค้านศาลชั้นต้นอนุญาตและมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2ออกจากสารบบความ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ที่พิพาทเป็นที่งอกของที่ดินโฉนดเลขที่ 530 ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่พิพาทหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อที่พิพาทเป็นที่งอกของที่ดินโฉนดเลขที่ 530 ของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 ย่อมเป็นเจ้าของที่พิพาทด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1308 ดังนั้น โจทก์จะเป็นเจ้าของที่พิพาทได้ก็ต่อเมื่อโจทก์ครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของครบ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 คดีนี้โจทก์นำสืบว่า ครอบครองที่พิพาทมาประมาณ 30 ปี แล้ว แต่ปรากฏจากคำเบิกความของนางเชื่อม บุญอนันต์ ภริยาโจทก์ตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่า ในช่วงแรกที่โจทก์ปลูกบ้านนั้นบริเวณที่ปลูกบ้านน้ำท่วมถึงและนายแฉล้ม ศรีชะลัง อดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านท้องที่ที่พิพาทเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า ที่พิพาทมีลักษณะเป็นที่งอกเกิดจากฝนตกชะดินจากภูเขาลงมา เมื่อประมาณ 30 ปี บริเวณที่โจทก์ไปปลูกบ้านเป็นที่ดินที่น้ำทะเลท่วมถึงแต่ปัจจุบันนี้ได้รวมเป็นผืนเดียวกับที่งอกแล้ว นอกจากนี้นางสาวสุมาลี บุญอนันต์บุตรโจทก์เบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า เดิมที่พิพาทมีสภาพเป็นทะเลมาก่อน ต่อมาเกิดพายุไต้ฝุ่นทำให้มีดินขึ้นมาบริเวณที่พิพาทจนมีสภาพเป็นที่งอกเชื่อมติดกับที่ดินจำเลยที่ 1 หลังจากนั้นมีการตัดถนนระหว่างที่งอกกับทะเลทำให้น้ำทะเลท่วมไปไม่ถึงที่งอก และนางรัชนี ทรัพย์ประสาน พยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความว่า พยานเช่าที่ดินของโจทก์ปลูกบ้านมาประมาณ 15 ถึง 16 ปี แล้วแต่ปัจจุบันไม่ได้อยู่แล้วเนื่องจากไฟไหม้ที่ดินที่เช่ามีสภาพคล้ายที่งอกบางปีน้ำท่วมถึงและที่ดินที่เช่านี้อยู่ด้านบนไม่เกี่ยวกับที่พิพาท และมีการสร้างถนนขึ้นมาเพื่อป้องกันน้ำทะเลท่วมถึงเมื่อประมาณ 4 ถึง 5 ปี หลังจากนั้นปรากฏว่าน้ำท่วมไม่ถึง จากคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า เดิมที่พิพาทเป็นที่ชายตลิ่งที่น้ำท่วมถึงจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(2) ที่พิพาทเพิ่งกลายเป็นที่งอกหลังจากมีการสร้างถนนเมื่อ 4 ถึง 5 ปี มานี้เอง ดังนั้น ก่อนหน้าที่พิพาทเป็นที่งอก แม้โจทก์จะครอบครองมานานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ หลังจากที่พิพาทกลายเป็นที่งอกอันเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 แล้ว โจทก์ครอบครองไม่ถึง 10 ปี โจทก์ไม่ได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของที่พิพาทที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

อนึ่ง คดีนี้แม้โจทก์จะมีคำขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 2 ที่สั่งให้ออกโฉนดที่ดินแก่จำเลยที่ 1 อันเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยก็ตาม แต่โจทก์ก็ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่พิพาท ห้ามจำเลยที่ 1 เข้ามายุ่งเกี่ยว จำเลยที่ 1 ให้การว่าที่พิพาทเป็นที่งอกจากที่ดินมีโฉนดของจำเลยที่ 1 ที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง กรณีจึงเป็นเรื่องพิพาทกันด้วยกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินอันเป็นคดีมีทุนทรัพย์หรือคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้คดีของโจทก์จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้และไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้รวมอยู่ด้วย โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามตาราง 1 ข้อ 3 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งต้องเสียในอัตราสองบาทห้าสิบสตางค์ต่อทุกหนึ่งร้อยบาทตามข้อ 1(ก) แต่ไม่ให้น้อยกว่าสองร้อยบาทตามอัตราในข้อ 2(ก) หรือข้อ 2(ข) แล้วแต่กรณี ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกิน 200 บาทแก่โจทก์นั้นจึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง”

พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่คืนค่าขึ้นศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ให้โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share