คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149-150/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยใช้กำลังกระชากสร้อยจนขาดจากคอผู้เสียหาย และพวกจำเลยในกลุ่มที่วิ่งหนีได้ใช้ปืนยิงพวกผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ เมื่อกำลังวิ่งไล่ติดตามพวกคนร้ายอย่างกระชั้นชิด เป็นการลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์ พาเอาทรัพย์นั้นไปให้พ้นจากการจับกุม การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ และเมื่อมีผู้กระทำความผิดตั้งแต่สามคนขึ้นไป โดยใช้ปืนยิงเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายแล้ว ก็เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 4

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวน ศาลสั่งพิจารณาพิพากษารวมกัน
โจทก์ฟ้องและยื่นคำร้องเพิ่มเติมฟ้องใจความอย่างเดียวกันว่า จำเลยทั้งสองสำนวนกับพวกซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง และพวกอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นเยาวชนได้แยกฟ้องยังศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางต่างหาก ได้ร่วมกันกระทำผิดกฎหมาย สมคบกันมีอาวุธปืนไปทำการปล้นทรัพย์ของนางสงวน ได้ใช้กำลังกายกดคอนางสงวน และใช้อาวุธปืนยิงนายกิมซ้วนซึ่งเข้าทำการจับกุม เพื่อให้เป็นความสะดวกแก่การปล้นทรัพย์ และเพื่อให้พ้นจากการจับกุม เจ้าพนักงานได้อาวุธและกระสุนปืนจากจำเลยที่ ๑ นายหนุ่ม จำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีแดงที่ ๓๑๑๕/๒๕๑๐ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรคสองและสี่ และมาตรา ๘๓ และให้นับโทษนายหนุ่มจำเลยต่อจากคดีอาญาแดงที่ ๓๑๑๕/๒๕๑๐
จำเลยที่ ๑ และ ๒ ให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดฐานชิงทรัพย์ ต่อมาได้ถอนคำให้การเดิม และให้การใหม่ว่าได้กระทำผิดฐานวิ่งราวทรัพย์
จำเลยที่ ๓ และนายหนุ่มจำเลยให้การปฏิเสธ นายหนุ่มรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในสำนวนคดีอาญาแดงที่ ๓๑๑๕/๒๕๑๐
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ กับนายหนุ่มจำเลยกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรค ๔ วางโทษจำคุกคนละ ๒๐ ปี จำเลยที่ ๑ อายุ ๑๘ ปี ลดโทษให้ตามมาตรา ๗๖ จำคุก ๑๕ ปี คำรับของจำเลยเป็นประโยชน์แก่ทางพิจารณา ลดให้คนละ ๑ ใน ๓ ตามมาตรา ๗๘ ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ สิบปี จำเลยที่ ๒ และนายหนุ่มจำเลยคนละ ๑๓ ปี ๔ เดือน ให้นับโทษนายหนุ่มจำเลยต่อจากสำนวนคดีอาญาแดงที่ ๓๑๑๕/๒๕๑๐ ของกลางริบ ส่วนจำเลยที่ ๓ ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และนายหนุ่มอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยทั้งสามกระทำผิดจริง และเห็นด้วยที่ศาลชั้นต้นลดโทษให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งมีอายุ ๑๘ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๖ แต่ที่ศาลชั้นต้นลดมาตราส่วนโทษให้แล้วคงจำคุกจำเลยที่ ๑ ในสำนวนแรก ๑๕ ปีนั้น เห็นว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๖ บัญญัติว่า ถ้าศาลเห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นลงหนึ่งในสาม หรือ กึ่งหนึ่งก็ได้ ที่ศาลชั้นต้นจะลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยที่ ๑ มานั้นเป็นการไม่ถูกต้องตามมาตรา ๗๖ สมควรลดมาตราส่วนให้จำเลยที่ ๑ ในสำนวนแรกหนึ่งในสาม จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ ๑ ในสำนวนแรกมีอายุ ๑๘ ปี ลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นคงหนึ่งในสามตามมาตรา ๗๖ คงจำคุกจำเลยที่ ๑ ในสำนวนแรก สิบสามปีสี่เดือน และมีเหตุบรรเทาโทษเพราะคำรับของจำเลยทั้งสามเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่มาก ลดโทษให้จำเลยทั้งสามคนละหนึ่งในสามตามมาตรา ๗๘ คงจำคุกจำเลยที่ ๑ ในสำนวนแรก แปดปีสิบเดือนยี่สิบวัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสาม
นายชุ่ม ด้วงเอี่ยม และนายหนุ่ม รอดบุบผา จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า นายชุ่มจำเลยที่ ๒ กับนายหนุ่มได้ร่วมกันกระทำความผิด ที่นายชุ่ม จำเลยฎีกาว่า จำเลยกระทำผิดวิ่งราวทรัพย์เท่านั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่ามีนายหนุ่มจำเลยได้ร่วมกระทำผิดด้วย นอกจากนั้นยังได้ความจากพยานโจทก์ว่า นายหนุ่มจำเลยได้ใช้กำลังกระชากสร้อยจนขาดจากคอ ตอนนายหนุ่มจำเลยหกล้มแล้ว พวกในกลุ่มที่วิ่งหนีได้ใช้ปืนยิงนายกิมช้วนได้รับบาดเจ็บ เมื่อกำลังวิ่งไล่ติดตามพวกคนร้ายอย่างกระชั้นชิดเช่นนี้ เป็นการลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์ พาเอาทรัพย์นั้นไปให้พ้นจากการจับกุม การกระทำดังกล่าวจึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ ไม่ใช่เป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ดังที่นายชุ่มจำเลยฎีกา และเมื่อปรากฏมีผู้ร่วมกระทำความผิดตั้งแต่สามคนขึ้นไป โดยใช้ปืนยิงเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายแล้ว ก็เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรค ๔
พิพากษายืน

Share