คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1487/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จะพิจารณาว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์หรือไม่ ต้องพิจารณาตามสภาพของทางพิพาทและการใช้ทางพิพาทว่า เข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 หรือไม่ประกอบกับเจตนาของผู้ที่อุทิศที่ดินให้ทำทางพิพาท ได้ความว่า ทางพิพาทเฉพาะส่วนที่ผ่านที่ดินจำเลยซึ่งโจทก์ทั้งสี่และจำเลย ได้ร่วมกันนำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดมีความกว้าง 3 เมตร ยาว 24 เมตร และถนนดินที่ต่อจากทางพิพาทก็มีความกว้างใกล้เคียงกับทางพิพาทผ่านที่ดินแปลงอื่น ๆ อีกหลายแปลง ความกว้างของ ทางพิพาทดังกล่าวจึงไม่น่าจะใช้เฉพาะเป็นพนัง กั้นน้ำหรือ ใช้เป็นทางเดินผ่านเท่านั้น แต่น่าจะใช้สำหรับเป็นทางล้อเกวียนและใช้รถยนต์แล่นผ่านได้ด้วย ประกอบกับที่ดินจำเลยทางด้าน ทิศใต้จดถนนลูกรังสาธารณประโยชน์และถนนดินเริ่มต้นตั้งแต่ ถนนลูกรังสาธารณประโยชน์ดังกล่าวผ่านที่ดินจำเลย ที่ดินโจทก์ ทั้งสี่และที่ดินของบุคคลอื่นอีกหลายแปลงเข้าไปเป็นระยะทางยาวประมาณ 3 กิโลเมตร เชื่อได้ว่าถนนดินดังกล่าวโจทก์ทั้งสี่และ ชาวบ้านทั่วไปได้ใช้เป็นทางเดิน ใช้ล้อเกวียนสำหรับลากขน สัมภาระในการทำนาและใช้รถยนต์แล่นผ่าน นอกจากนี้จำเลยเคย ลงชื่อมอบที่ดินบริเวณทางพิพาทให้ทางสุขาภิบาลคลองหลวง เพื่อทำถนนให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมซึ่งมีพื้นผิวถนนกว้าง 2 วา แสดงว่าจำเลยไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพียงใช้ถนนพิพาทเป็น พนัง กั้นน้ำหรือคันกั้นน้ำเข้านาข้าวเท่านั้น แต่ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้อุทิศทางพิพาทให้เป็นทางสาธารณประโยชน์โดยความ สมัครใจของจำเลย ทางพิพาทดังกล่าวจึงตกเป็นสาธารณสมบัติ ของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(2) จำเลยจึงไม่มีสิทธิ กระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการขัดขวางการใช้ทางพิพาท ของโจทก์ทั้งสี่

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้พิพากษาว่าทางพิพาทกว้าง 3 เมตรยาว 20 เมตร ในที่ดินโฉนดเลขที่ 14929 ตำบลบางระกำอำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตามรูปแผนที่เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 เป็นทางสาธารณประโยชน์ ทางภารจำยอมและทางจำเป็น ให้จำเลยไปจดทะเบียนเป็นทางสาธารณประโยชน์ทางภารจำยอมและทางจำเป็น โดยให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินแก่โจทก์ทั้งสี่เพื่อดำเนินการจดทะเบียนต่อไปกับให้จำเลยรื้อถอนเสาปูนรั้วลวดหนามและสิ่งกีดขวางออกไปจากทางพิพาทและปรับทางพิพาทให้อยู่ในสภาพเดิมห้ามเกี่ยวข้องต่อไป
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า ที่ดินจำเลยด้านทิศตะวันออกจดที่ดินนายบุญสม มิใช่จดถนนดินตามฟ้อง ถนนดินดังกล่าวเป็นพนัง กั้นน้ำชั่วคราว กำนันตำบลบางระกำในขณะนั้นขอร้องให้เจ้าของที่ดินแต่ละรายช่วยกันทำเมื่อ 40 ปีที่แล้วเพื่อกั้นน้ำเข้าที่นามิให้น้ำท่วมนาข้าวซึ่งเป็นแนวยาวเชื่อมต่อกันตั้งแต่วัดวังถึงวัดบางระกำ เมื่อ 5 ปีที่แล้ว กำนันตำบลบางระกำขอ บริจาค ที่ดินตรงแนวพนัง กั้นน้ำเพื่อทำเป็นถนนสาธารณะเข้าหมู่บ้าน แต่เจ้าของที่ดินบางรายไม่ยินยอมจึงต้องยกเลิกโครงการไปนับแต่นั้นมาพนัง กั้นน้ำได้หมดสภาพไป โจทก์ทั้งสี่ใช้ทางพิพาทตรงพนัง กั้นน้ำผ่านที่ดินจำเลยโดยถือวิสาสะ โจทก์ทั้งสี่สามารถเดินผ่านที่ดินนางสาวบุบผาที่กันไว้เป็นทางผ่านเข้าออกเมรุวัดเรือแข่งออกสู่ทางสาธารณะได้ ทางพิพาทจึงมิใช่ทางสาธารณประโยชน์หรือทางภารจำยอมหรือทางจำเป็น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ทางพิพาทกว้าง 3 เมตรยาว 24 เมตร ที่ตัดผ่านที่ดินจำเลยโฉนดเลขที่ 14929 ตำบลบางระกำอำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.ล.1 เป็นทางสาธารณประโยชน์ ให้จำเลยรื้อถอนเสาปูน รั้วลวดหนาม และสิ่งกีดขวางออกไปจากทางพิพาท และปรับทางพิพาทให้อยู่ในสภาพเดิม ห้ามมิให้จำเลยกระทำการใด ๆ อันเป็นการเสื่อมสิทธิโจทก์ทั้งสี่ที่จะใช้ทางพิพาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่นำสืบรับกันและข้อที่ไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า โจทก์ที่ 1ที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 13504 โจทก์ที่ 3ที่ 4 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1774 และจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 14929 ที่ดินทั้งสามแปลงอยู่ตำบลบางระกำ อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทางทิศตะวันออกของที่ดินทั้งสามแปลงมีถนนดินตัดผ่าน เดิมถนนดินดังกล่าวเป็นพนัง กั้นน้ำทำขึ้นเมื่อ 40 ปีที่แล้ว เพื่อป้องกันน้ำจากภายนอกมิให้ไหลเข้ามาท่วมที่นามีความยาวตั้งแต่วัดวังถึงวัดบางระกำ ทางพิพาทที่ตัดผ่านที่ดินจำเลยเป็นส่วนหนึ่งของพนัง กั้นน้ำดังกล่าว ตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.1 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ทางพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์หรือไม่โจทก์มีตัวโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4นายจิรศักดิ์ กองแก้ว กำนันตำบลบางระกำ นายอุดม เวชเดชผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 4 ตำบลบางระกำ นายสนวน สมอยู่ อดีตกำนันตำบลบางระกำและนายขวัญเมือง ชูตินันท์ เป็นพยานเบิกความว่าถนนดินซึ่งเดิมเป็นพนัง กั้นน้ำดังกล่าวบางคนเรียกว่าถนนหลังหมู่บ้าน โจทก์ทั้งสี่และชาวบ้านทั่วไปใช้ถนนดินดังกล่าวเป็นทางเดิน ใช้ล้อเกวียนสำหรับลากขนสัมภาระในการทำนา ขนข้าวเปลือก และใช้รถยนต์แล่นผ่านเข้าออกมานานประมาณ 40 ปีแล้ว ถนนดินเฉพาะส่วนที่ตัดผ่านที่ดินจำเลยมีความกว้างประมาณ 3 เมตร และยาวประมาณ 24 เมตร โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 นายจิรศักดิ์ และนายอุดมเบิกความต่อมาอีกว่าเมื่อปี 2536 คณะกรรมการสุขาภิบาลอำเภอบางหลวงได้ดำเนินการปรับปรุงถนนดินเพื่อทำถนนให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมจำเลยได้ลงชื่อมอบที่ดินให้ตามเอกสารหมาย จ.13 ส่วนจำเลยมีตัวจำเลยนางสุนทร บวบหอมและนายสมพงษ์ เผือดผ่อง เป็นพยานเบิกความว่า พนังกั้นน้ำมีความกว้างสามารถใช้เดินได้คนเดียว ปัจจุบันพนังกั้นน้ำดังกล่าวเลิกใช้ประโยชน์แล้ว เพราะทางราชการได้ขุดคลองส่งน้ำขึ้นใหม่ โจทก์ทั้งสี่และชาวบ้านมีเส้นทางอื่นนอกจากทางพิพาทสามารถใช้ผ่านออกสู่ทางสาธารณะได้ เห็นว่าการที่จะพิจารณาว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์หรือไม่ต้องพิจารณาตามสภาพของทางพิพาทและการใช้ทางพิพาทว่าเข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 หรือไม่ประกอบกับเจตนาของผู้ที่อุทิศที่ดินให้ทำทางพิพาท คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่าทางพิพาทเฉพาะส่วนที่ผ่านที่ดินจำเลยตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.1 ซึ่งโจทก์ทั้งสี่และจำเลยได้ร่วมกันนำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดมีความกว้าง 3 เมตรยาว 24 เมตร และถนนดินที่ต่อจากทางพิพาทก็มีความกว้างใกล้เคียงกับทางพิพาทผ่านที่ดินแปลงอื่น ๆ อีกหลายแปลง ความกว้างของทางพิพาทดังกล่าวจึงไม่น่าจะใช้เฉพาะเป็นพนัง กั้นน้ำหรือใช้เป็นทางเดินผ่านเท่านั้น แต่น่าจะใช้สำหรับเป็นทางล้อเกวียนและใช้รถยนต์แล่นผ่านได้ด้วย ประกอบกับที่ดินจำเลยทางด้านทิศใต้จดถนนลูกรังสาธารณประโยชน์ และถนนดินเริ่มต้นตั้งแต่ถนนลูกรังสาธารณประโยชน์ดังกล่าวผ่านที่ดินจำเลยที่ดินโจทก์ทั้งสี่และที่ดินของบุคคลอื่นอีกหลายแปลงเข้าไปเป็นระยะทางยาวประมาณ 3 กิโลเมตร จึงสอดคล้องกับทางนำสืบของโจทก์ทั้งสี่ว่าถนนดินดังกล่าวโจทก์ทั้งสี่และชาวบ้านทั่วไปใช้เป็นทางเดินใช้ล้อเกวียนสำหรับลากขนสัมภาระในการทำนาและใช้รถยนต์แล่นผ่านนอกจากนี้จำเลยเคยลงชื่อมอบที่ดินบริเวณทางพิพาทให้ทางสุขาภิบาลคลองหลวงเพื่อทำถนนให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมซึ่งมีพื้นผิวถนนกว้าง 2 วา ตามเอกสารหมาย จ.13 แสดงว่าจำเลยไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพียงใช้ถนนพิพาทเป็นพนัง กั้นน้ำหรือคันกั้นน้ำเข้านาข้าวเท่านั้น แต่ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้อุทิศทางพิพาทให้เป็นทางสาธารณประโยชน์โดยความสมัครใจของจำเลยทางพิพาทดังกล่าวจึงตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1304(2) พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสี่จึงมีน้ำหนักน่ารับฟังยิ่งกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์ จำเลยจึงไม่มีสิทธิกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการขัดขวางการใช้ทางพิพาทของโจทก์ทั้งสี่ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share