คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1487/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อหน้าศาล และศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้ว ต่อมาจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความโจทก์ขอให้ศาลบังคับ จำเลยทั้งสามจึงฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความโดยอ้างว่าสัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ ดังนี้ จำเลยจะร้องขอให้งดการบังคับคดีไว้จนกว่าจะทราบผลแห่งคำพิพากษาในคดีที่ฟ้องขอเพิกถอนนั้นหาได้ไม่ เพราะเป็นการฟ้องคดีกรณีเดียวกันกับคดีเดิม หาใช่ฟ้องคดีอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 วรรคแรกไม่ และหากจำเลยเห็นว่าคำพิพากษาตามยอมมิได้เป็นไปตามข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความตามคำร้องขอแล้ว จำเลยย่อมใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษานั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 138(3)

ย่อยาว

มูลกรณีสืบเนื่องจากโจทก์ทั้งสามฟ้องจำเลยทั้งสี่เรื่องที่ดิน ก่อนยื่นคำให้การโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ยื่นใบแต่งทนายความแต่งตั้งนายไสวเป็นทนายความ ในวันเดียวกันทนายโจทก์และทนายจำเลยได้ยื่นคำแถลงร่วมกันว่าโจทก์จำเลยได้ตกลงยอมความกัน ขอให้ศาลทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้ ศาลชั้นต้นได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและมีคำพิพากษาตามยอมในวันเดียวกันนั้นเอง ต่อมาจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จึงขอให้ศาลบังคับ จำเลยยื่นคำร้องว่าจำเลยมิได้ตกลงแบ่งที่พิพาทให้แก่ฝ่ายโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ความจริงจำเลยตกลงแบ่งที่ดินแปลงที่ 4 เนื้อที่ 42 ตารางวาให้แก่โจทก์ที่ 2 เท่านั้น จำเลยเพิ่งทราบว่าฝ่ายโจทก์ได้นำลายพิมพ์นิ้วมือและลายมือชื่อของจำเลยไปแอบอ้างว่าจำเลยยอมความกับโจทก์สัญญาประนีประนอมยอมความเป็นโมฆะ จำเลยได้ยื่นฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความดังปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 2/2520 ของศาลชั้นต้น จำเลยมิได้จงใจไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล ขอให้ศาลงดการบังคับคดีนี้ไว้ก่อนจนกว่าจะทราบผลแห่งคำพิพากษาในคดีที่จำเลยฟ้อง

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนจนกว่าคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 2/2520 ของศาลชั้นต้นจะถึงที่สุด

โจทก์ทั้งสามฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทั้งสามกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อหน้าศาล และศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้วต่อมาจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามสัญญายอมความ โจทก์ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสาม ขอให้รอบังคับคดีไว้โดยอ้างว่าสัญญายอมความมิได้เป็นไปตามข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความ และจำเลยได้ยื่นฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 2/2520 ของศาลชั้นต้น แล้ววินิจฉัยว่า การที่จำเลยทั้งสามซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ยื่นฟ้องโจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 2/2520 ของศาลเดียวกัน ขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมนั้น เป็นการฟ้องคดีกรณีเดียวกันกับคดีนี้ หาใช่ฟ้องคดีอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 วรรคแรก ที่จะให้ศาลสั่งงดการบังคับคดีเพื่อหักกลบลบหนี้กันไม่ หากจำเลยทั้งสามเห็นว่าคำพิพากษาตามยอมมิได้เป็นไปตามข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความตามคำร้องขอแล้ว จำเลยทั้งสามย่อมใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษานั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา138(3) หาใช่จำเลยทั้งสามมาใช้สิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม แล้วยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดีไว้จนกว่าจะทราบผลแห่งคำพิพากษาในคดีที่จำเลยทั้งสามฟ้องไม่

พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องขอของจำเลยทั้งสามตามคำสั่งศาลชั้นต้น

Share