แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คำรับของจำเลยต่อเจ้าพนักงานสอบสวนที่ถามจำเลยก่อนที่จะแจ้งข้อหาแก่จำเลยนั้น จำเลยยังไม่ได้อยู่ในฐานะเป็นผู้ต้องหา โจทก์จะอ้างเอาคำรับดังกล่าวเพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง จึงเป็นการมิชอบ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33,80, 217, 218 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 ข้อ 5 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 218(1) ประกอบมาตรา 80 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515 (ที่ถูก พ.ศ. 2514)ข้อ 5 ลงโทษจำคุก 4 ปี ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ริบของกลาง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าทรัพย์สินของนางจันทรา มณีขัติย์ ผู้เสียหายคือแคร่ไม้มีรอยเขม่าควันไฟ ปรากฏอยู่ที่ขาแคร่กับผ้าคลุมแคร่มีรอยถูกเผา ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องโจทก์หรือไม่ โจทก์มีประจักษ์พยานเพียงปากเดียวคือ เด็กชายพิเชษฐ์เบิกความยืนยันว่า เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2532 เวลา 17 นาฬิกา พยานเห็นจำเลยเป็นผู้จุดไฟเผาแคร่ไม้ซึ่งวางอยู่ติดกับประตูหน้าบ้านผู้เสียหายต่อมาวันที่ 10 กันยายน 2532 ผู้เสียหายถามพยาน พยานได้บอกผู้เสียหายว่าจำเลยเป็นผู้จุดไฟเผาแคร่ไม้ของผู้เสียหาย ศาลฎีกาเห็นว่า ประจักษ์พยานโจทก์ปากนี้มีข้อพิรุธ กล่าวคือหลังเกิดเหตุพยานไม่เคยบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ผู้ใดฟังเลย และพยานเพิ่มจะไปให้การต่อพนักงานสอบสวนหลังจากที่จำเลยถูกจับกุมถึง 10กว่าวัน นอกจากนี้พยานยังเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่าก่อนที่พยานจะบอกเล่าเรื่องราวให้ผู้เสียหายฟังนั้น ผู้เสียหายได้ไปถามเด็กชายอุดรน้องชายพยานก่อนว่าใครเผาแคร่ไม้ เด็กชายอุดรบอกว่าเด็กชายทิศกับเด็กชายหนุ่ยไปเผาเพื่อเอารังแตนหลังจากนั้นผู้เสียหายได้ไปสอบถามเรื่องราวกับเด็กชายทิศกับเด็กชายหนุ่ยเด็กชายทิศกับเด็กชายหนุ่ยจะบอกผู้เสียหายว่าอย่างไรพยานไม่ทราบดังนี้ คำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อพยานโจทก์นอกจากนี้ก็ไม่มีผู้ใดรู้เห็นว่าจำเลยกระทำผิด ที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยได้รับว่าเป็นผู้เผาแคร่ไม้ของผู้เสียหายนั้นเป็นคำรับที่พนักงานสอบสวนสอบถามจำเลยก่อนที่จะแจ้งข้อหาแก่จำเลยจำเลยยังไม่ได้อยู่ในฐานะเป็นผู้ต้องหา โจทก์จะอ้างเอาคำรับดังกล่าวเพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง จึงเป็นการมิชอบอีกทั้งจำเลยให้การปฏิเสธทั้งในชั้นจับกุม ชั้นสอบสวน และชั้นพิจารณามาโดยตลอด พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบยังไม่มีน้ำหนักมั่นคงพอที่จะฟังลงโทษจำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.