แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีเสร็จเด็ดขาดปกครองด้วยกัน ฟ้อง , ตัดสิน
ย่อยาว
เดิมศาลตัดสินให้แบ่งสินสมรสแลมรฎก น.ผู้มรณภาพแก่โจทย์จำเลยผู้เปนภรรยา น.เสร็จไปแล้ว แต่ยังมีที่ดินอันเปนสินสมรสระหว่าง น. กับโจทย์จำเลยอยู่อีก โจทย์ได้ให้ผู้มีชื่อเช่าจำเลยได้ให้เจ้าพนักงานออกโฉนดให้แก่จำเลยโจทย์จึงฟ้องเรียกกรรมสิทธิ
ศาลอุทธรณ์ข้าหลวงพิเศษตัดสินว่า ยังมีเหตุสงสัยฟังไม่สนิทว่าฝ่ายใดได้ปกครองมาแต่ฝ่ายเดียว คงฟังว่าโจทย์จำเลยมีสิทธิในที่นาด้วยกันควรแบ่งนาตามเกณฑ์ที่ศาลฎีกาได้พิพากษาในคดีก่อน
จำเลยฎีกาว่า
๑. ศาลอุทธรณ์มิได้ชี้ขาดว่าโจทย์ได้ปกครองมาฝ่ายเดียว โจทย์ฟ้องคดีนี้เกินกำหนดอายุความมรฎกแล้ว
๒. ฟ้องโจทย์กล่าวว่าที่นาเปนของโจทย์จำเลยทุจริตขอโฉนดในนามของจำเลย ขอให้ถอนชื่อจำเลยแลให้ที่นาเปนสิทธิแก่โจทย์ ครั้นพิจารณาไม่ได้ความจริง ศาลตัดสินให้แบ่งเปนมรฎกผิดประเด็นข้อหาของโจทย์
๓. ศาลตัดสินคดีมรฎกเด็ดขาดแล้ว โจทย์เก็บเอาคดีที่ศาลพิพากษาแล้วมาฟ้องอีก ต้องด้วยข้อห้ามตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อ ๑ ศาลอุทธรณ์ข้าหลวงพิเศษวินัจฉัยดังนี้เปนข้อแสดงให้เข้าใจได้ว่าโจทย์จำเลยได้ปกครองมาด้วยกัน จึงให้จำเลยได้ส่วนมรฎก น.ด้วย จำเลยจะยกกำหนดอายุความมาตัดฟ้องโจทย์ไม่ขึ้น ส่วนข้อ ๒ แล ข้อ ๓ นั้น ก็ไม่ตรงกับเรื่องนี้ เพราะคดีก่อนเปนคดีเรื่องมรฎกซึ่งฝ่ายภรรยาขอแบ่งสินสมรสของสามีผู้มรณภาพ แต่คดีนี้ พิภาษกันเรื่องที่ดินซึ่งทั้ง ๒ ฝ่าย ปกครองมาด้วยกันแลต่างแย่งกรรมสิทธิกัน แม้ในฟ้องโจทย์อ้างว่า เปนเจ้าของแต่ผู้เดียว ขอให้ที่ดินเปนกรรมสิทธิของโจทย์ทั้งหมดก็ดี แต่พิจารณาได้ความว่าโจทย์ควรได้ส่วนแบ่ง ศาลก็มีอำนาจแบ่งให้ทีเดียว ไม่ต้องให้โจทย์ฟ้องขอแบ่งใหม่ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๓๕ แต่การแบ่งได้อาศรัยหลักเกณฑ์ที่ศาลฎีกาได้พิพากษาแบ่งส่วนไว้ในคดีก่อนเท่านั้น หาได้ตัดสินผิดประเด็นหรือเอาคดีที่ศาลตัดสินแล้วมาตัดสินไม่ ให้ยกฎีกาจำเลย