แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทและประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คตาม ป.พ.พ. มาตรา 900 เมื่อจำเลยทั้งสองปฏิเสธความรับผิดอ้างว่าไม่มีมูลหนี้ ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่จำเลยทั้งสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน จำนวน 101,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 100,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คิดถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 16 มีนาคม 2543) ต้องไม่เกิน 1,250 บาท กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลยทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความรวม 6,000 บาท
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า จำเลยทั้งสองยอมรับว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายในเช็คพิพาทและประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็ค ตาม ป.พ.พ. มาตรา 900 เมื่อจำเลยทั้งสองปฏิเสธความรับผิดอ้างว่าไม่มีมูลหนี้ ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่จำเลยทั้งสองซึ่งจำเลยทั้งสองมีนางภัทรานิศฐ์เบิกความลอย ๆ เพียงปากเดียวว่า นางภัทรานิศฐ์นำเช็คพิพาทที่มีจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายและประทับตราของจำเลยที่ 1 มาลงวันที่สั่งจ่ายและจำนวนเงินมอบให้โจทก์เพื่อเป็นประกันการสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ในวงเงิน 100,000 บาท แล้วโจทก์ไม่ส่งสินค้าให้ตามสั่ง แต่นางภัทรานิศฐ์ไม่ได้เบิกความให้ชัดเจนว่าสั่งสินค้าชนิดใด มีจำนวนและราคาเท่าใด และไม่มีหลักฐานรายการสั่งสินค้าทั้งที่ได้มอบเช็คพิพาทที่ลงรายการในเช็คครบถ้วนให้โจทก์ก่อนได้รับสินค้าจากโจทก์อันเป็นทางเสียเปรียบผิดวิสัยของผู้ทำการค้าทั่วไป แม้จะมีนางจรรยาและจำเลยที่ 2 มาเป็นพยานก็เป็นพยานบอกเล่าที่ได้รับฟังมาจากนางภัทรานิศฐ์เท่านั้น จึงเป็นข้ออ้างที่เลื่อนลอยไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง กลับได้ความจากโจทก์ว่านางภัทรานิศฐ์ได้ยืมเงินจากโจทก์ไปจำนวน 100,000 บาท โดยทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ และสั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ซึ่งมีข้อความระบุว่านางภัทรานิศฐ์ยอมรับว่าเป็นหนี้เงินกู้โจทก์จริง และตกลงชำระหนี้เป็นเช็คพิพาทจำนวน 100,000 บาท โดยนางภัทรานิศฐ์ยอมรับว่าได้ลงชื่อเป็นผู้รับสภาพหนี้ ส่วนที่นางภัทรานิศฐ์และจำเลยที่ 2 นำสืบอ้างว่าเป็นหนังสือค้ำประกันในการทำงานของนางภัทรานิศฐ์กับโจทก์ขณะลงชื่อยังไม่มีการกรอกข้อความให้ครบถ้วน ก็ปรากฏว่าข้อความส่วนที่กรอกเพิ่มเติมด้วยลายมือมีเพียงวันที่ จำนวนเงินที่รับสภาพหนี้กับรายการเกี่ยวกับเช็คพิพาทเท่านั้น ข้อความส่วนใหญ่ยังมีใจความว่าเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ของนางภัทรานิศฐ์ผู้เป็นลูกหนี้กับโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ ไม่มีข้อความในลักษณะว่าเป็นหนังสือค้ำประกันความเสียหายในการทำงานอย่างใด น่าเชื่อว่าเช็คพิพาทสั่งจ่ายให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ นอกจากนี้ที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าหลังจากโจทก์ไม่ส่งสินค้าให้ในวันรุ่งขึ้นได้ทวงเช็คคืนโจทก์อ้างว่าเช็คหาย แต่ทั้งนางภัทรานิศฐ์และจำเลยที่ 2 ก็มิได้ดำเนินการแจ้งให้ธนาคารตามเช็คระงับการจ่ายเงินจนโจทก์นำเช็คพิพาทไปร้องทุกข์ดำเนินคดี นับว่าไม่สมเหตุผล ข้อนำสืบของจำเลยทั้งสองจึงไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อ จำเลยทั้งสองผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายในเช็คพิพาทต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงโดยชอบ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 2,000 บาท.