แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์อุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อไม่นำแฟ้มเรื่องไปด้วยเป็นการขัดกับเหตุผลและข้อเท็จจริงเมื่อปรากฏว่าศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเพราะเหตุอื่น อุทธรณ์โจทก์ข้อนี้จึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงโดยบิดเบือนคำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้จำเลยเสียหายอย่างร้ายแรง โจทก์อุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยกลั่นแกล้งโจทก์ หรือโจทก์มีพฤติการณ์ไม่สุจริตอันเป็นการวินิจฉัยโดยปราศจากหลักฐานอ้างอิง เมื่อศาลแรงงานกลางมิได้วินิจฉัยดังที่โจทก์อุทธรณ์ อุทธรณ์โจทก์จึงเป็นข้อที่ไม่ทำให้คำพิพากษาศาลแรงงานกลางเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
น. ขอกู้เงินจำนวน 320,000 บาทจากธนาคารจำเลยโดยจำนองที่ดินเป็นประกัน จำเลยให้ ว. ส. และ ธ. พนักงานของจำเลยไปตรวจสอบที่ดิน พนักงานดังกล่าวไปตรวจสอบแล้วทำรายงานว่าที่ดินที่จะจำนองประกันหนี้เงินกู้ติดซอยสาธารณะจำเลยจึงให้ น. กู้เงินไปตามที่ขอกู้ต่อมา น. ขอกู้เงินเพิ่มอีก 200,000 บาท อ้างว่าได้ปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ในที่ดินแล้ว จำเลยจึงให้ ว. ศ. และโจทก์เป็นผู้ไปตรวจสอบ โจทก์กับพวกไปตรวจสอบแล้วร่วมกันทำรายงานว่ามีการก่อสร้างอาคารพาณิชย์จริงจำเลยจึงให้ น.กู้เงินเพิ่มอีก ในที่สุดปรากฏว่าที่ดินของ น. ไม่ติดซอยสาธารณะ ไม่มีทางเข้าออก และไม่มีสิ่งปลูกสร้างดังนี้ แม้ครั้งแรกโจทก์จะไม่ได้ร่วมไปตรวจสอบด้วยก็ตาม แต่เมื่อจำเลยให้โจทก์ไปตรวจสอบว่ามีอาคารพาณิชย์ปลูกอยู่ในที่ดินของ น. จริงหรือไม่ โจทก์ก็ย่อมจะต้องตรวจเรื่องเดิมว่าที่ดินของ น. อยู่ตรงจุดใด เพื่อที่จะทราบโดยแน่ชัดว่ามีอาคารปลูกอยู่จริงหรือไม่ แต่โจทก์ไม่สนใจตรวจดูเรื่องเดิมกลับเชื่อตามที่ ว. ชี้ว่าที่ดินของผู้อื่นซึ่งมีสิ่งปลูกสร้างอยู่เป็นของ น.จึงถือได้ว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
การที่โจทก์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงดังกล่าวเป็นเหตุให้จำเลยหลงเชื่อว่ามีหลักทรัพย์อันเป็นประกันคืออาคารพาณิชย์ปลูกในที่ดินที่จำนองไว้เดิมจริงตามที่ น. อ้าง จำเลยจึงให้ น. กู้เงินไปอีก 200,000บาท เพียงเท่านี้ถือได้แล้วว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้จำเลยเสียหายอย่างร้ายแรงโดยไม่จำต้องพิจารณาว่าเมื่อจำเลยบังคับจำนองแล้วจะได้รับการชำระคุ้มกับหนี้หรือไม่ การกระทำของโจทก์ดังกล่าวเป็นเหตุอันสมควรที่จำเลยจะพึงเลิกจ้างโจทก์ได้มิใช่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างประจำ ทำงานในหน้าที่พนักงานตรวจสภาพหลักทรัพย์ ต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยอย่างร้ายแรง ซึ่งไม่เป็นความจริง เป็นการกลั่นแกล้งโจทก์และเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม ขอให้ศาลบังคับจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่เดิมและได้รับค่าจ้างและสิทธิเท่าเดิม ถ้ารับโจทก์กลับเข้าทำงานไม่ได้ให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยและค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงานเนื่องจากโจทก์กระทำผิดต่อระเบียบและวินัยของพนักงานของจำเลยอย่างร้ายแรง ทำให้จำเลยเสียหายอย่างร้ายแรง จำเลยมิได้กลั่นแกล้งโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องรับโจทก์กลับเข้าทำงานหรือจ่ายค่าชดเชย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ปัญหาที่โจทก์อุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อไม่นำแฟ้มเรื่องไปด้วยเป็นการขัดกับเหตุผลและข้อเท็จจริงนั้น ศาลแรงงานกลางเพียงแต่วินิจฉัยว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ข้อแก้ตัวของโจทก์ที่ว่าไม่ได้นำแฟ้มเรื่องไปในวันนั้น สามารถแก้ไขได้ หากโจทก์ทำงานด้วยความรอบคอบพอสมควร โดยอาจตรวจสอบสภาพที่ดินที่มีสิ่งปลูกสร้างทำแผนที่โดยประมาณแล้วนำมาตรวจสอบกับเรื่องเดิมที่สำนักงาน ก็จะทราบว่าเป็นสิ่งปลูกสร้างของที่ดินที่เป็นปัญหาหรือไม่ อุทธรณ์โจทก์ข้อนี้จึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงโดยบิดเบือนคำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ปัญหาที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยกลั่นแกล้งโจทก์ และโจทก์มีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่สุจริตเป็นการวินิจฉัยที่ปราศจากหลักฐานอ้างอิงนั้นปรากฏว่าโดยสรุปแล้วศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าเหตุที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์นั้น เพราะโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง หาได้วินิจฉัยดังที่จำเลยอุทธรณ์ไม่ ฉะนั้นอุทธรณ์โจทก์ทั้งสองประการดังกล่าว จึงเป็นข้อที่ไม่ทำให้คำพิพากษาศาลแรงงานกลางเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด จึงไม่วินิจฉัยให้
ปัญหาที่โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์ทำรายงานเสนอจำเลยว่ามีสิ่งปลูกสร้างในที่ดินเพราะเชื่อนายวิษณุ ถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบแล้วนั้น ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเดิมเมื่อนายนิวัตรมาขอกู้เงินจำนวน ๓๒๐,๐๐๐ บาทจากจำเลยโดยจำนองที่ดิน ๙ โฉนด เนื้อที่ ๘๓ ตารางวาเป็นประกัน จำเลยได้ให้นายวิษณุนายสมหมาย และนายธวัช พนักงานของจำเลยไปตรวจสอบที่ดินและประเมินราคา นายวิษณุกับพวกไปตรวจสอบที่ดินของนายนิวัตรแล้วทำรายงานเสนอจำเลยและแนบแผนที่สังเขปแสดงว่าที่ดินทั้ง ๙ โฉนด ติดซอยสาธารณะตีราคา ๑,๐๗๙,๐๐๐ บาท จำเลยจึงให้นายนิวัตรกู้เงินไปตามที่ขอกู้ ต่อมานายนิวัตรขอกู้เพิ่มอีก ๒๐๐,๐๐๐ บาท และอ้างว่าได้ปลูกสร้างอาคารพาณิชย์จำนวน ๘ คูหาในที่ดินแล้ว จำเลยจึงให้นายวิษณุ นายศิริพงษ์ และโจทก์เป็นผู้ไปตรวจสอบและประเมินราคา โจทก์กับพวกไปตรวจสอบแล้วร่วมกันทำรายงานว่ามีการก่อสร้างอาคารพาณิชย์ ๓ ชั้นเสร็จไป ๘๐ เปอร์เซ็นแล้วราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีมูลค่า ๑,๗๒๘,๐๐๐ บาท จำเลยจึงให้นายนิวัตรกู้เงินเพิ่มอีก ๒๐๐,๐๐๐ บาท ต่อมานายนิวัตรขอกู้เงินเพิ่มอีก จำเลยให้คณะกรรมการไปตรวจสอบที่ดินและประเมินราคาเช่นเคย คณะกรรมการชุดนี้ไปตรวจสอบปรากฏว่าที่ดินของนายนิวัตรไม่ติดซอยสาธารณะ ไม่มีทางเข้าออกและไม่มีสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน ดังนี้ถึงแม้ครั้งแรกโจทก์ไม่ได้ร่วมไปตรวจสอบที่ดินทั้ง๙ โฉนด ของนายนิวัตรก็ตาม แต่เมื่อนายนิวัตรขอกู้เงินจากจำเลยเพิ่มขึ้นโดยอ้างว่ามีอาคารพาณิชย์ปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าวด้วยนั้น จำเลยได้ตั้งโจทก์เป็นผู้ไปร่วมตรวจสอบว่ามีอาคารพาณิชย์ปลูกอยู่ในที่ดินของนายนิวัตรจริงหรือไม่โดยมีนายวิษณุและนายศิริพงษ์ร่วมไปตรวจด้วยก็ตาม แต่ผู้ไปตรวจแต่ละคนย่อมจะต้องรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ของตน ดังนี้ การที่โจทก์ซึ่งไม่ได้ไปตรวจสอบที่ดินของนายนิวัตรมาก่อนย่อมจะต้องตรวจเรื่องเดิมว่าที่ดิน ๙ โฉนดที่นายนิวัตรจำนองไว้กับจำเลยอยู่ตรงจุดใด เพื่อที่จะทราบโดยแน่ชัดว่าที่ดินดังกล่าวมีอาคารพาณิชย์ปลูกอยู่จริงหรือไม่ แต่โจทก์ก็ไม่สนใจตรวจดูเรื่องเดิมกลับเชื่อตามที่นายวิษณุชี้ว่าที่ดินของผู้อื่นและมีสิ่งปลูกสร้างอยู่เป็นของนายนิวัตร และทำรายงานจำเลยไป จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบ หากเป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
ปัญหาที่โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยไม่เสียหายเพราะอาจบังคับจำนองที่ดินที่นายนิวัตรจำนองไว้ได้ ฉะนั้น การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงไม่เป็นธรรมต่อโจทก์นั้น เห็นว่า การที่จำเลยตกลงให้นายนิวัตรขอกู้เงินเพิ่มอีก ๒๐๐,๐๐๐ บาทนั้น ขึ้นอยู่กับหลักทรัพย์อันเป็นประกันคืออาคารพาณิชย์ที่นายนิวัตรอ้างว่าปลูกอยู่ในที่ดินที่จำนองไว้เดิม จึงให้โจทก์ไปตรวจสอบว่ามีอยู่จริงหรือไม่ การที่โจทก์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้จำเลยหลงเชื่อว่ามีหลักทรัพย์อันเป็นประกันดังที่นายนิวัตรอ้างจริง จึงให้นายนิวัตรกู้เงินไปเป็นจำนวนถึง ๒๐๐,๐๐๐ บาท เพียงเท่านี้ถือได้แล้วว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงทำให้จำเลยเสียหายอย่างร้ายแรงโดยไม่จำต้องพิจารณาว่าเมื่อจำเลยบังคับจำนองที่ดินของนายนิวัตรจะได้รับการชำระหนี้หรือไม่ การกระทำของโจทก์ดังวินิจฉัยแล้วเป็นเหตุอันสมควรที่จำเลยจะพึงเลิกจ้างโจทก์ได้ มิใช่เป็นการเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมดังอุทธรณ์โจทก์
พิพากษายืน