แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแผ้วถางทำลายป่าคุ้มครองและยึดถือเอาโดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อได้ความว่าที่พิพาทนี้ได้มีการโอนการครอบครองต่อๆ กันมาเป็นพฤติการณ์ที่ทำให้จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าจำเลยเข้าครอบครองโดยชอบ หาได้จงใจฝ่าฝืนกฎหมายไม่ ขาดเจตนาอันเป็นองค์ประกอบความผิดทางอาญา จึงลงโทษตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและสงวนป่าฯ กับประมวลกฎหมายที่ดินไม่ได้ และเป็นคนละประเด็นกับข้อที่ว่า แม้มีผู้เคยมีสิทธิครอบครองอยู่ก่อนและโอนต่อๆ มา เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาให้เป็นป่าคุ้มครอง ก็ไม่ทำให้ที่นั้นหมดสภาพเป็นป่าคุ้มครอง (อ้างฎีกาที่ 922/2502)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองสมคบกันก่นสร้างแผ้วถางทำลายป่าชายเลนคลองบางผึ้ง คลองพ่อ ในท้องที่ตำบลเพหลา อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ ซึ่งเป็นป่าคุ้มครอง เนื้อที่ประมาณ 15 ไร่เศษ แล้วบังอาจยึดถือเอาโดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและสงวนป่า พ.ศ. 2481 มาตรา 7, 8, 22 (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2496 มาตรา 4, 6 พระราชกฤษฎีกากำหนดป่าชายเลนคลองบางผึ้ง คลองพ่อฯ ให้เป็นป่าคุ้มครอง พ.ศ. 2494 ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ให้จำเลยออกจากป่าและงดเว้นกระทำใด ๆ ในที่ดิน
จำเลยให้การว่า ฟ้องไม่สมบูรณ์ ที่ดินนี้นายอาด หลานโปะจับจองทำสวนยางพารา ต่อมา พ.ศ. 2494 ขายให้นายเส็นหรือหะยีอูเส็นสามารถ แล้วนายอูเส็น สามารถได้ขายให้แก่พ่อตาจำเลยที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2502 จำเลยที่ 1 ก่นถางยางเดิมออกปลูกยางพันธุ์มิใช่ป่าชายเลนหรือป่าคุ้มครองจำเลยที่ 2 ช่วยทำงานนี้
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้ง 2 ผิดตามฟ้อง ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 100 บาท จำเลยที่ 2 เป็นเงิน 50 บาท ให้จำเลยออกจากป่าและงดเว้นการกระทำใด ๆ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทนี้นายอาด หลานโปะ จับจองทำประโยชน์และขายให้นายเส็นหรือหะยีอูเส็น สามารถ เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2494 ทำสัญญาซื้อขายที่อำเภอคลองท่อม ครั้นวันที่ 1 ตุลาคม 2502 นายหะยีอูเส็นขายให้นายคล้ายพ่อตาจำเลยที่ 1 เห็นว่าได้มีการโอนการครอบครองต่อ ๆ กันมา อันเป็นพฤติการณ์ที่ทำให้จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทโดยชอบหาได้จงใจฝ่าฝืนกฎหมายแต่ประการใดไม่ ขาดเจตนาอันเป็นองค์ประกอบความผิดทางอาญาและที่โจทก์ฎีกาว่า ที่ป่าคุ้มครอง แม้ผู้อื่นเคยมีสิทธิครอบครองอยู่ก่อนและโอนกันต่อ ๆ มาเมื่อพระราชกฤษฎีกาให้เป็นป่าคุ้มครองแล้ว ก็ไม่ทำให้ที่นั้นหมดสภาพเป็นป่าคุ้มครองนั้น เป็นคนละประเด็นกับที่จำเลยมีเจตนากระทำผิดหรือไม่ ตามฎีกาที่ 922/2502 พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์