คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1461/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นลูกจ้างประจำสังกัดกรมธนารักษ์ เบิกเงินค่าจ้างในงบงานจัดทรัพย์สินของรัฐ กรมธนารักษ์ โดยได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน มีตำแหน่งเป็นพนักงานเก็บเงินที่มีผู้ชำระต่อราชพัสดุจังหวัดเท่านั้น จึงมิใช่เป็นข้าราชการที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งตามกฎหมาย คำสั่งจ้างจำเลยระบุเพียงว่าให้จ้างจำเลยเข้าเป็นลูกจ้างประจำสังกัดกรมธนารักษ์ มิได้อ้างว่าแต่งตั้งจำเลย โดยอาศัยอำนาจของกฎหมายใด ฉะนั้น แม้จำเลยจะมีหน้าที่เก็บเงินค่าเช่าอาคารราชพัสดุก็มีฐานะเป็นเพียงลูกจ้าง หาใช่เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายไม่
เงินที่จำเลยยักยอกไปเป็นเงินที่จำเลยเก็บจากผู้เช่าอาคาราชพัสดุแล้วยังมิได้ส่งต่อทางราชการ จำเลยมีหน้าที่ครอบครองดูแลรักษาเงินนั้น และต้องส่งมอบให้แก่ทางราชการเงินที่จำเลยรับไว้ จึงเป็นของราชการกรมธนารักษ์ ไม่ใช่เป็นของประชาชนผู้ชำระค่าเช่าแต่ละราย เพราะกรมธนารักษ์ต้องรับผลในการกระทำของจำเลยในอันที่จะไปเรียกเก็บค่าเช่าจากผู้เช่าให้ชำระอีกไม่ได้ ผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งได้รับมองอำนาจให้เป็นผู้ครอบครองและควบคุมดูแลที่ราชพัสดุแทนกรมธนารักษ์จึงเป็นผู้เสียหาย
สารสำคัญตามฟ้องของโจทก์ว่าจำเลยยักยอกเอาเงินไป เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยยักยอกเอาเงินไปจริง ก็เป็นอันตรงกับคำฟ้อง ส่วนที่ตามว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานนั้น แม้ตามทางพิจารณาจะไม่ได้ความว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงาน ก็ยังถือไม่ได้ว่าคดีได้ความตามทางพิจารณาต่างกับฟ้อง และไม่ใช่เป็นเรื่องฟ้องเคลือบคลุมหรือฟ้องไม่สมบูรณ์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงาน ดำรงตำแหน่งพนักงานเก็บเงินสังกัดกรมธนารักษ์ มีหน้าที่จัดการเก็บเงินค่าธรรมเนียม ค่าปรับและค่าเช่าอาคารราชพัสดุในเขต อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จากผู้เช่าอาคารราชพัสดุ แล้วส่งมอบให้แก่ทางราชการกรมธนารักษ์ ทั้งนี้ทางราชการกรมธนารักษ์ได้มอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสุะรรณบุรี เป็นผู้ครอบครองและดูแลที่ราชพัสดุในจังหวัด เมื่อจำเลยได้รับเงินจากผู้เช่าอาคารราชพัสดุดังกล่าวไว้วันใด มีหน้าที่ต้องส่งมอบเงินให้แก่ทางราชการในวันที่ได้รับเงินนั้น ระหว่างวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๑๘ ถึงวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๑๙ จำเลยได้มีเจตนาทุจริตปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ได้บังอาจเบียดบังเงินค่าเช่ารวมทั้งสิ้น ๒๓ จำนวน ต่างกรรมต่างวาระกัน เป็นเหตุให้ทางราชการกรมธนารักษ์และผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรีเสียหาย และจำเลยยังได้บังอาจปลอมใบเสร็จรับเงินค่าเช่าอาคารราชพัสดุ อันเป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการที่แท้จริง โดยกรอกข้อความเพิ่มเติมลงในต้นขั้วใบเสร็จรับเงิน มีข้อความไม่ตรงกับปลายขั้วใบเสร็จรับเงิน ซึ่งมอบให้แก่ผู้เช่าไป โดยจำเลยได้กระทำดังกล่าวต่างกรรมต่างวาระกันรวม ๑๒ ครั้ง ตั้งแต่ระหว่าวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๑๘ ถึงวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๒๐ เหตุเกิดที่ตำบลท่าพี่เลี้ยง อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗, ๑๕๗, ๒๖๔, ๒๖๕, ๒๖๖, ๒๖๘, ๓๕๒, ๓๕๓, ๓๕๔, ๙๑ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๓, ๑๓ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๒ กับขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗, ๑๕๗, ๒๖๔, ๒๖๕, ๒๖๖, ๒๖๘, ๓๕๒, ๓๕๓, ๓๕๔, ๙๑ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ (ไม่ใส่มาตราไว้) ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๒ ให้จำคุกตามาตรา ๑๔๗ ซึ่งเป็นบทหนักกรรมละ ๕ ปี รวม ๒๓ กรรม เป็นโทษจำคุก ๑๑๕ ปี กับจำคุกมาตรา ๒๖๘ ซึ่งเป็นบทหนัก กรรมละ ๑ ปี รวม ๑๒ กรรม เป็นโทษจำคุก ๑๒ ปี รวมโทษสองฐานทุกรรมเป็นจำคุก ๑๒๗ ปี จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยมีกำหนด ๖๓ ปี ๖ เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ตามฟ้องแก่ผู้เสียหายด้วย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยเป็นเพียงลูกจ้างประจำสังกัดกรมธนารักษ์ ไม่มีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ไม่เป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ และทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๓, ๓๕๔ ด้วย พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดฐานยัดยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒ ,๙๑ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๒ ให้ลงโทษจำคุกกรรมละ ๖ เดือน รวม ๒๓ กรรม เป็นโทษจำคุก ๑๑ ปี ๖ เดือน ส่วนความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น รวมโทษจำคุก ๒๓ ปี ๖ เดือน จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๑๑ ปี ๙ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นลูกจ้างประจำสังกัดกรมธนารักษ์เบิกเงินค่าจ้างในงบงานจัดทรัพย์สินของรัฐ กรมธนารักษ์ โดยได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน มีตำแหน่งเป็นพนักงานเก็บเงินที่มีผู้ชำระต่อราชพัสดุจังหวัดเท่านั้น จึงมิใช่เป็นข้าราชการที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งตามกฎหมาย คำสั่งจ้างจำเลยระบุเพียงว่าให้จ้างจำเลยเข้าเป็นลูกจ้างประจำสังกัดกรมธนารักษ์ มิได้อ้างว่าแต่งตั้งจำเลยโดยอาศัยอำนาจของกฎหมายใด ฉะนั้น แม้จำเลยจะมีหน้าที่เก็บเงินค่าเช่าอาคารราชพัสดุก็มีฐานะเป็นเพียงลูกจ้าง หาใช่เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายไม่
สำหรับเงินที่จำเลยยักยอกไปเป็นเงินที่จำเลยเก็บจากผู้เช่าอาคาราชพัสดุแล้วยังมิได้ส่งต่อทางราชการ จำเลยมีหน้าที่ครอบครองดูแลรักษาเงินนั้น และต้องส่งมอบให้แก่ทางราชการ เงินที่จำเลยรับไว้จึงเป็นของราชการกรมธนารักษ์ ไม่ใช่เป็นของประชาชนผู้ชำระค่าเช่าแต่ละราย เพราะกรมธนารักษ์ต้องรับผลในการกระทำของจำเลยในอันที่จะไปเรียบเก็บค่าเช่าจากผู้เช่าให้ชำระอีกไม่ได้ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งได้รับมอบอำนาจให้เป็นผู้ครอบครองและควบคุมดูแลที่ราชพัสดุแทนกรมธนารักษ์ จึงเป็นผู้เสียหาย
สารสำคัญตามฟ้องของโจทก์ว่าจำเลยยักยอกเอาเงินไป เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยยักยอกเอาเงินไปจริง ก็เป็นอันตรงกับคำฟ้องแล้ว ส่วนที่ตามฟ้องว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานนั้น แม้ตามทางพิจารณาจะไม่ได้ความว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานก็ยังถือไม่ได้ว่าคดีได้ความตามทางพิจารณาต่างกับฟ้อง และไม่ใช่เป็นเรื่องเคลือบคลุมหรือฟ้องไม่สมบูรณ์
พิพากษายืน

Share