คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1460/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความเท็จที่นำไปฟ้องอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 นั้น ต้องเป็นความเท็จในเรื่องที่เป็นองค์ประกอบของการกระทำความผิดอาญา เมื่อจำเลยได้ฟ้องโจทก์ในคดีก่อนกล่าวหาว่าโจทก์ออำเช็คและธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินองค์ประกอบของการกระทำที่จำเลยฟ้องโจทก์ คือการที่โจทก์ออกเช็คและธนาคารปฏิเสธไม่ใช้เงินตามเช็คนั้น การที่โจทก์หรือผู้หนึ่งผู้ใดนำเอาเช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชี เพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็ค มิใช่เป็นองค์ประกอบในการกระทำความผิดที่จำเลยฟ้อง ดังนั้นการที่จำเลยกล่าวในฟ้องว่าจำเลยนำเช็คไปเข้าบัญชี เพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็ค แม้จะไม่เป็นความจริง จำเลยก็ไม่มีความผิดฐานฟ้องเท็จ แต่ในข้อหาฐานเบิกความเท็จนั้น ในเรื่องที่ว่าผู้ใดนำเช็คเข้าบัญชี เพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็คนั้นย่อมเป็นข้อสำคัญในคดี เพราะผู้นำเช็คไปเข้าบัญชีย่อมเป็นผู้ทรง เมื่อธนาคารปฏิเสธไม่ใช้เงินตามเช็ค ผู้นั้นย่อมเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องผู้ออกเช็คได้ ฉะนั้น เมื่อจำเลยเบิกความอันเป็นเท็จว่าเป็นผู้นำเช็คเข้าบัญชี ซึ่งความจริงจำเลยได้ขายลดเช็คนั้นไปแล้ว จำเลยย่อมมีความผิดฐานเบิกความเท็จได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฟ้องเท็จและเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๕, ๑๗๗
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้ออกเช็ค ๓ ฉบับ เมื่อเช็คถึงกำหนดธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยจึงนำคดีไปฟ้องโจทก์โดยกล่าวในฟ้องและเบิกความในการพิจารณาคดีของศาลว่า จำเลยนำเอาเช็คไปเข้าบัญชีของจำเลยเพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็คซึ่งไม่ถูกต้อง ความจริงจำเลยมิได้นำเช็คนั้นไปเข้าบัญชี เพราะจำเลยขายเช็คให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ไปแล้ว ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าความเท็จที่นำไปฟ้องอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๕ นั้น ต้องเป็นความเท็จในเรื่องที่เป็นองค์ประกอบของการกระทำความผิดอาญา เมื่อจำเลยได้ฟ้องโจทก์ในคดีก่อนกล่าวหาว่าโจทก์ออกเช็คและธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน องค์ประกอบของการกระทำที่จำเลยฟ้องคือ การที่โจทก์ออกเช็คและธนาคารปฏิเสธไม่ใช้เงินตามเช็คนั้น การที่โจทก์หรือผู้หนึ่งผู้ใดนำเอาเช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชี เพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็ค มิใช่เป็นองค์ประกอบในการกระทำความผิดที่จำเลยฟ้อง ดังนั้น การที่จำเลยกล่าวในฟ้องว่าจำเลยนำเช็คไปเข้าบัญชี เพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็ค แม้จะไม่เป็นความจริงจำเลยก็ไม่มีความผิดฐานฟ้องเท็จ แต่ในข้อหาฐานเบิกความเท็จนั้น ในเรื่องที่ว่าผู้ใดนำเช็คเข้าบัญชี เพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็คนั้น ย่อมเป็นข้อสำคัญในคดี เพราะผู้นำเช็คไปเข้าบัญชีย่อมเป็นผู้ทรง เมื่อธนาคารปฏิเสธไม่ใช้เงินตามเช็ค ผู้นั้นย่อมเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องผู้ออกเช็คได้ ฉะนั้น เมื่อจำเลยเบิกความอันเป็นเท็จว่าเป็นผู้นำเช็คเข้าบัญชี ซึ่งความจริงจำเลยได้ขายลดเช็คนั้นไปแล้ว จำเลยย่อมมีความผิดฐานเบิกความเท็จได้ แต่ในการเบิกความเท็จดังกล่าว แม้จำเลยที่ ๒ จะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ ก็ฟังไม่ได้ว่ากระทำแทนจำเลยที่ ๑ หรือจำเลยที่ ๑ ได้ร่วมกระทำผิดด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ประทับฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๒ ในข้อหาฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share