แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กรรมการบริษัทโจทก์สองนายได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ ย. ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทโจทก์เป็นตัวแทน มีอำนาจกระทำการในนามบริษัทโจทก์และลงนามในหนังสือสัญญาขายสินค้าแทนบริษัทโจทก์ได้ ฉะนั้นที่ ย.ได้ทำสัญญาให้เช่าซื้อในนามบริษัทโจทก์ลงลายมือชื่อ ย.คนเดียวและประทับตราสำคัญของบริษัทโจทก์จึงเป็นการกระทำแทนบริษัทโจทก์โดยได้รับมอบอำนาจจากบริษัทโจทก์โดยชอบ
บริษัทจำเลยที่ 1 เคยให้ ท.แต่ผู้เดียวลงลายมือชื่อประทับตราสำคัญของบริษัทจำเลยที่ 1 ในหนังสือสัญญาเช่าซื้อจากบริษัทมิตซูบิซิและบริษัทโตโยต้า แล้วนำรถนั้นมาใช้ในกิจการของบริษัทจำเลยที่ 1 แม้ ท.จะได้กระทำไปโดยผิดระเบียบ บริษัทจำเลยที่ 1 ก็ยอมรับ และในขณะที่ ท.ทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถจากบริษัทโจทก์ในนามบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าซื้อ ได้ลงลายมือชื่อประทับตราดุน ซึ่งเป็นตราสำคัญของบริษัทจำเลยที่ 1 แทนบริษัทจำเลยที่ 1 ก็แสดงให้เห็นว่า ท.ได้เช่าซื้อรถจากบริษัทโจทก์มาใช้ในกิจการของบริษัทจำเลยที่ 1 ถือไม่ได้ว่าเป็นการเช่าซื้อรถเป็นส่วนตัวของ ท. กับจำเลยที่ 2 เมื่อได้ส่งมอบรถกันแล้วมีหลักฐานทะเบียนรถว่าบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรถทั้ง 16 คัน และมีการต่อตัวถังทำเป็นรถยนต์รับส่งคนโดยสาร ทาสีรถเป็นสีเขียวเหลืองและตราของบริษัทจำเลยที่ 1 บริษัทจำเลยที่ 1 ได้ขออนุญาตต่อคณะกรรมการควบคุมการขนส่ง แล้วนำรถทั้งหมดไปใช้แล่นรับส่งคนโดยสารหาประโยชน์ในเส้นทางสัมปทานของบริษัทจำเลยที่ 1 ถือไม่ได้ว่า ท.กับ ข.ได้ใช้รถแล่นหาผลประโยชน์เป็นส่วนตัว เห็นได้ว่าบริษัทจำเลยที่ 1 ได้เข้าถือเอาประโยชน์ตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถที่บริษัทโจทก์ได้นำมาฟ้อง แม้ ท.จะได้กระทำผิดข้อระเบียบข้อบังคับของบริษัทจำเลยที่ 1 ก็ถือว่าบริษัทจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการ ได้ให้สัตยาบันต่อการกระทำของ ท.ซึ่งเป็นตัวแทนในการทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถจากบริษัทโจทก์ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 823 บริษัทจำเลยที่ 1 จึงมีความผูกพันที่จะต้องชำระหนี้ตอบแทนแก่บริษัทโจทก์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 369 บริษัทโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายเพราะเหตุผิดสัญญาจากบริษัทจำเลยที่ 1 ได้
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นได้พิจารณาพิพากษาคดี ๑๖ สำนวนนี้รวมกัน
โจทก์ฟ้องทำนองเดียวกันว่าจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกยี่ห้อออสตินพร้อมอุปกรณ์จากโจทก์ราคาคันละ ๘๖,๐๐๐ บาท ใช้เงินในวันทำสัญญา ๓,๖๐๐ บาท ที่เหลือผ่านใช้ ๒๓ งวด ๆ ละหนึ่งเดือน ๆ ละ ๓,๖๐๐ บาท เดือนสุดท้าย ๓,๒๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ ได้ทำสัญญาค้ำประกันการใช้เงินของจำเลยที่ ๑ กับค่าเสียหายของโจทก์อย่างเป็นลูกหนี้ร่วมโจทก์ยอมให้จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนรถเป็นชื่อจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของรถ จำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ใช้เงินค่าเช่าซื้อตามสัญญา โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและยึดรถซึ่งมีสภาพเสื่อมโทรมคืนมา เมื่อเอาราคารถที่จะขายได้ไปหักกับค่าเช่าซื้อที่ค้างกับที่จะต้องใช้ต่อไปจำเลยจะต้องใช้เงินให้โจทก์ดังนี้ รถในคดีแพ่งของศาลชั้นต้นหมายเลขดำที่ ๗๓, ๗๔, ๗๗, ๘๐, ๘๒, ๘๔, /๒๕๑๔ คันละ ๖๖,๐๐๐ บาท หมายเลขดำที่ ๗๕, ๗๖, ๗๘, ๘๓, ๘๕, ๘๗/๒๕๑๔ คันละ ๖๔,๐๐๐ บาท หมายเลขดำที่ ๘๘/๒๕๑๔ ๗๔,๐๐๐ บาท หมายเลขดำที่ ๗๙/๒๕๑๔ ๗๑,๐๐๐ บาท หมายเลขดำที่ ๘๐/๒๕๑๔ ๖๕,๐๐๐ บาท หมายเลขดำที่ ๘๖/๒๕๑๔ ยึดรถมาไม่ได้จำเลยจะต้องใช้เงินให้โจทก์ ๘๖,๐๐๐ บาท ขอให้ศาลพิพากษาบังคับจำเลยใช้เงินดังกล่าวให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยให้จำเลยส่งทะเบียนรถซึ่งได้แก้ชื่อจำเลยที่ ๑ เป็นชื่อโจทก์เป็นเจ้าของรถแล้วให้โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การทำนองเดียวกันว่าโจทก์และจำเลยที่ ๑ ต่างได้จดทะเบียนข้อบังคับไว้ว่ากรรมการสองนายมีอำนาจลงชื่อประทับตราสำคัญของบริษัท จึงจะมีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ และแทนจำเลยที่ ๑ แต่หนังสือสัญญาเช่าซื้อตามฟ้อง นายยอดยิ่ง เอื้อวัฒนสกุล ได้ลงลายมือชื่อแทนโจทก์คนเดียวและจำเลยที่ ๒ ซึ่งได้ลงลายมือชื่อร่วมกับนายทรง โกสิยะสถิต ประธานกรรมการของจำเลยที่ ๑ แทนจำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นกรรมการของจำเลยที่ ๑ หนังสือสัญญาเช่าซื้อที่โจทก์ได้นำมาฟ้องจึงไม่สมบูรณ์และไม่ผูกพันจำเลยที่ ๑ นายทรงกับจำเลยที่ ๒ ได้เช่าซื้อรถจากโจทก์เป็นส่วนตัว
จำเลยที่ ๒ ให้การทำนองเดียวกันว่าจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถจากโจทก์และจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันจริงดังฟ้องแต่ได้ให้การต่อสู้คดีอีกหลายประการ ฯลฯ
ก่อนสืบพยาน จำเลยที่ ๒ ได้นำทะเบียนรถรวม ๑๖ คันมาให้โจทก์ ซึ่งได้ขายรถทั้งหมดไปได้เงิน ๓๘๐,๐๐๐ บาท และจำเลยที่ ๑ ยินยอมโอนทะเบียนรถเป็นของผู้ซื้อ
เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จศาลจังหวัดสมุทรปราการได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ ๒ ในคดีล้มละลายแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ ๒
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายในการใช้รถกับค่าบุบสลายแก่โจทก์ในคดีแพ่งของศาลชั้นต้นหมายเลขดำที่ ๗๓, ๗๔, ๗๗, ๘๑, ๘๒, ๘๔/๒๕๑๔ สำนวนละ ๖๒,๖๐๐ บาท หมายเลขดำที่ ๗๕, ๗๖, ๗๘, ๘๓, ๘๕, ๘๗/๒๕๑๔ สำนวนละ ๖๐,๔๐๐ บาท หมายเลขดำที่ ๗๙/๒๕๑๔ ๖๘,๕๐๐ บาท หมายเลขดำที่ ๘๐/๒๕๑๔ ๖๑,๕๐๐ บาท หมายเลขดำที่ ๘๖/๒๕๑๔ ๕๖,๐๐๐ บาท หมายเลขดำที่ ๘๘/๒๕๑๔ ๗๒,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแต่ละสำนวนอัตราร้อยละ ๑.๒๕ บาทต่อเดือน นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะได้ใช้เงินให้โจทก์เสร็จ ให้ยกคำของให้ส่งทะเบียนรถเพราะได้มีการปฏิบัติตามคำขอในระหว่างพิจารณาคดีแล้ว
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่าผู้ลงลายมือชื่อแทนบริษัทโจทก์ และผู้ลงลายมือชื่อแทนบริษัทจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ปฏิบัติตามข้อบังคับที่ได้จดทะเบียนไว้และจำเลยที่ ๒ ไม่มีอำนาจทำสัญญาเช่าซื้อแทนบริษัทจำเลยที่ ๑ หนังสือสัญญาเช่าซื้อที่บริษัทโจทก์นำมาฟ้องบริษัทจำเลยที่ ๑ จึงไม่สมบูรณ์และไม่ผูกพันบริษัทจำเลยที่ ๑ นั้น คดีได้ความตามเอกสาร จ.๑ จ.๒ ว่า เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๑๐ กรรมการบริษัทโจทก์สองนายได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้นายยอดยิ่งซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทโจทก์เป็นตัวแทนชั้น ก. มีอำนาจกระทำการในนามบริษัทโจทก์และลงนามในหนังสือสัญญาขายสินค้าแทนบริษัทโจทก์ได้ ฉะนั้นที่นายยอดยิ่งได้ทำสัญญาให้เช่าซื้อในนามบริษัทโจทก์ลงลายมือชื่อนายยอดยิ่งคนเดียวและประทับตราสำคัญของบริษัทโจทก์จึงเป็นการกระทำแทนบริษัทโจทก์โดยได้รับมอบอำนาจจากบริษัทโจทก์โดยชอบ
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าบริษัทจำเลยที่ ๑ เคยให้นายทรงแต่ผู้เดียวลงลายมือชื่อประทับตราของบริษัทจำเลยที่ ๑ ในหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถจากบริษัทมิตซูบิซิและบริษัทโตโยต้าแล้วนำรถนั้นมาใช้ในกิจการของบริษัทจำเลยที่ ๑ แม้นายทรงจะได้กระทำไปโดยผิดระเบียบ บริษัทจำเลยที่ ๑ ก็ยอมรับและในขณะที่นายทรงทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถจากบริษัทโจทก์ในนามบริษัทจำเลยที่ ๑ เป็นผู้เช่าซื้อได้ลงลายมือชื่อประทับตราดุน ซึ่งเป็นตราสำคัญของบริษัทจำเลยที่ ๑ แทนบริษัทจำเลยที่ ๑ ก็แสดงให้เห็นวานายทรงได้เช่าซื้อรถจากบริษัทโจทก์มาใช้ในกิจการของบริษัทจำเลยที่ ๑ ถือไม่ได้ว่าเป็นการเช่าซื้อรถเป็นส่วนตัวของนายทรงกับจำเลยที่ ๒ เมื่อได้ส่งมอบรถกันแล้วมีหลักฐานทะเบียนรถว่าบริษัทจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของรถทั้ง ๑๖ คัน และฟังได้ว่าได้มีการต่อตัวถังทำเป็นรถยนต์รับส่งคนโดยสารทาสีรถเป็นสีเขียวเหลือง และตราของบริษัทจำเลยที่ ๑ บริษัทจำเลยที่ ๑ ได้ขออนุญาตต่อคณะกรรมการควบคุมการขนส่งแล้วนำรถทั้งหมดไปใช้แล่นรับส่งคนโดยสารหาประโยชน์ในเส้นทาง สัมปทานของบริษัทจำเลยที่ ๑ ยังฟังไม่ได้ว่านายทรงนายเชื้อได้ใช้รถแล่นหาผลประโยชน์เป็นส่วนตัว เห็นได้ว่าบริษัทจำเลยที่ ๑ ได้เข้าถือเอาประโยชน์ตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถที่บริษัทโจทก์ได้นำมาฟ้องแม้นายทรงจะได้กระทำผิดข้อระเบียบข้อบังคับของบริษัทจำเลยที่ ๑ ก็ฟังได้ว่าบริษัทจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นตัวการได้ให้สัตยาบันต่อการกระทำของนายทรง ซึ่งเป็นตัวแทนในการทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถจากบริษัทโจทก์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๘๒๓ บริษัทจำเลยที่ ๑ จึงมีความผูกพันที่จะต้องชำระหนี้ตอบแทนแก่บริษัทโจทก์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๓๖๙ บริษัทโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายเพราะเหตุผิดสัญญาจากบริษัทจำเลยที่ ๑ ได้เมื่อนายทรงพ้นหน้าที่ประธานและกรรมการผู้จัดการของบริษัทจำเลยที่ ๑ แล้ว คณะกรรมการของบริษัทจำเลยที่ ๑ ชุดใหม่จึงได้ประชุมลงมติไม่ยอมรับว่ารถรายที่ฟ้องเป็นของบริษัทจำเลยที่ ๑ เอกสารต่าง ๆ ที่บริษัทจำเลยที่ ๑ อ้างจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังการเปลี่ยนตัวประธานและกรรมการผู้จัดการของบริษัทจำเลยที่ ๑ ไม่มีผลให้บริษัทจำเลยที่ ๑ หลุดพ้นความรับผิดต่อบริษัทโจทก์
พิพากษายืน