คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1457/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้คำขอท้ายฟ้องและคำขอท้ายอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสิบเอ็ดจะขอให้จำเลยและบริวารออกจากบ้านพิพาท ไม่ได้ขอให้ขับไล่ออกจากที่ดินก็ตาม เมื่อบ้านพิพาทปลูกอยู่บนที่ดินของโจทก์ทั้งสิบเอ็ด โจทก์ทั้งสิบเอ็ดย่อมไม่ประสงค์ให้จำเลยและบริวารอยู่ในที่ดินและทาวน์เฮาส์ที่พิพาทต่อไป การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีคำพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินด้วย ไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสิบเอ็ดฟ้องขอให้บังคับจำเลยกับบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากทาวน์เฮาส์ตามฟ้องกับให้จำเลยชำระค่าเสียหาย จำนวน 15,000 บาท และค่าเสียหายเดือนละ 2,500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยกับบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปแก่โจทก์ทั้งสิบเอ็ด
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสิบเอ็ดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับ ให้จำเลยกับบริวารออกจากที่ดินและทาวน์เฮาส์เลขที่ 82/140 ถนนร่วมจิตบันดาล ตำบลบางมูลนาก อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร กับชำระเงิน 12,000 บาท และชำระเงินอีกเดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยกับบริวารออกจากที่ดินและทาวน์เฮาส์ดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งสิบเอ็ด กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ทั้งสิบเอ็ด โดยกำหนดค่าทนายความรวม 5,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นางชนิสราเป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 3913 ตำบลบางมูลนาก อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร เนื้อที่ 2 ไร่ 3 งาน 80 ตารางวา วันที่ 22 มีนาคม 2538 นายวุฒิชัยซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวบางส่วนเนื้อที่ 1 ไร่ 41 ตารางวา โดยใส่ชื่อนายบุหลงเป็นเจ้าของที่ดินร่วมกับนางชนิสราเจ้าของที่ดินเดิม และได้จำนองที่ดินที่ซื้อเป็นประกันหนี้ไว้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาบางมูลนาก นายวุฒิชัยนำที่ดินที่ซื้อมาทำการจัดสรรที่ดินและปลูกสร้างทาวน์เฮาส์ จำนวน 10 หลัง เนื้อที่หลังละประมาณ 20 ตารางวา จำหน่ายแก่บุคคลทั่วไป โจทก์ทั้งสิบเอ็ด นางยุพินและจำเลยได้จองซื้อที่ดินและทาวน์เฮาส์ดังกล่าวแต่ไม่ได้ทำสัญญากันไว้เป็นหลักฐาน โดยจำเลยจองซื้อที่ดินและทาวน์เฮาส์หลังที่ 3 เลขที่ 82/140 ถนนร่วมจิตบันดาล ตำบลบางมูลนาก อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร ในราคา 420,000 บาท และชำระเงินแก่นายวุฒิชัยแล้วจำนวน 120,000 บาท ต่อมาวันที่ 29 ตุลาคม 2540 มีการจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในส่วนของนายบุหลงเป็นของโจทก์ที่ 1 และที่ 4 ถึงที่ 11 กับนางยุพิน
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ตามคำขอท้ายฟ้องและคำขอท้ายอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสิบเอ็ด โจทก์ทั้งสิบเอ็ดขอเพียงให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านเลขที่ 82/140 ถนนร่วมจิตบันดาล ตำบลบางมูลนาก อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร เท่านั้น ไม่ได้ขอให้ขับไล่ออกจากที่ดิน การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีคำพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินด้วยเป็นการพิพากษาเกินคำขอนั้น เห็นว่า แม้คำขอท้ายฟ้องและคำขอท้ายอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสิบเอ็ดจะขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากทาวน์เฮาส์ที่พิพาทก็ตาม แต่ทาวน์เฮาส์ที่พิพาทปลูกอยู่บนที่ดินของโจทก์ทั้งสิบเอ็ด โจทก์ทั้งสิบเอ็ดย่อมไม่ประสงค์ให้จำเลยและบริวารอยู่ในที่ดินและทาวน์เฮาส์ที่พิพาทต่อไป การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีคำพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินด้วย จึงไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 2,500 บาท แทนโจทก์ทั้งสิบเอ็ด.

Share