คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1455/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การกักกันตามประมวลกฎหมายอาญาไม่ใช่โทษอาญา แต่เป็นวิธีการเพื่อความปลอดภัยอันมีลักษณะเบากว่าโทษจำคุก ฉะนั้น จะอนุโลมกำหนดเวลากักกันเป็นกำหนดโทษจำคุกไม่ได้ และไม่ว่ากักกันจะมีกำหนดเวลาต่ำหรือเกินกว่า 5 ปีก็ตามย่อมเป็นอันต้องห้ามฎีกา (ประชุมใหญ่ ครั้งที่21/2511)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง จำเลยให้การรับสารภาพ คดีฟังได้ว่าจำเลยได้ร่วมกันซ่อนเร้นหรือรับทรัพย์ตามฟ้องซึ่งถูกคนร้ายลักไปบนรถยนต์ประจำทางสายร้อยเอ็ด – กรุงเทพฯ โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ถูกลักไป จำเลยที่ ๑เคยต้องโทษจำคุกฐานลักทรัพย์มาแล้ว ๒ ครั้ง ภายใน ๓ ปีนับแต่พ้นโทษอันเข้าเกณฑ์เพิ่มโทษและโทษกักกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๗, ๘๓ ให้จำคุกคนละ ๔ ปีเพิ่มโทษจำเลยที่ ๑ กึ่งหนึ่งตามมาตรา ๙๓ เป็นจำคุก ๖ ปีลดโทษฐานรับสารภาพกึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ ๑ ไว้ ๓ ปี จำเลยที่ ๒ ไว้ ๒ ปี พ้นโทษแล้วให้ส่งจำเลยที่ ๑ ไปกักกันไว้มีกำหนด๕ ปี
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ขอให้ลดหย่อนโทษ และขอให้งดกักกันหรือลดกำหนดเวลากักกันให้น้อยลง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ไม่มีเหตุควรเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาศาลชั้นต้นพิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะในข้อขอให้งดหรือลดหย่อนโทษกักกัน ส่วนในข้อขอให้ลดหย่อนโทษจำคุก สั่งไม่รับเพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า การกักกันไม่ใช่โทษอาญาเป็นแต่เพียงวิธีการเพื่อความปลอดภัยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๙(๑) ซึ่งมีลักษณะเบากว่าโทษจำคุก ฉะนั้น จะอนุโลมกำหนดเวลากักกันเป็นกำหนดโทษจำคุกหรือรวมกับโทษจำคุกเพื่อใช้สิทธิฎีกาไม่ได้ ให้ยกฎีกาจำเลย.

Share