คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1454/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ด. ในฐานะประธานบริษัทผู้ร้องและในฐานะส่วนตัวทำสัญญาประนีประนอมกับ ป. โดย ป. ยอมใช้หนี้แก่ ธ. แทน ด. แม้จะพออนุมานได้ว่าเป็นการรับใช้หนี้แทนบริษัทผู้ร้องกับหนี้ ด. ในฐานะส่วนตัวก็ตามสัญญานี้ก็เป็นสัญญาระหว่างผู้ร้อง ด. กับ ป. เท่านั้น สวนเจ้าหนี้คือ ธ. หาได้ทำสัญญากับ ป. ด้วยไม่ จึงไม่ใช่แปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำหนังสือสัญญากู้เงินโจทก์ไป ๔๕๐,๐๐๐ บาท และได้จำนองที่ดินโฉนดที่ ๑๒๐๕ เป็นประกันเงินกู้รายนี้ ตกลงให้ดอกเบี้ยร้อยละ ๑.๒๕ บาทต่อเดือน ๆ ละครั้ง ถึงกำหนดจำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยตามสัญญา ขอให้บังคับให้จำเลยชำระหนี้ไถ่ถอนการจำนองรวมทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย ๖๙๕,๙๘๙ บาทและเสียดอกเบี้ยร้อยละ ๑.๒๕ บาทต่อเดือน จากเงินต้น ๔๕๐,๐๐๐ บาทนับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระหนี้เสร็จ ถ้าจำเลยไม่สามารถชำระหนี้ได้ขอให้สั่งขายทอดตลาดที่ดินที่จำนอง
จำเลยให้การและแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การว่า จำเลยมิใช่เจ้าของอันแท้จริงของที่ดินพิพาทเจ้าของอันแท้จริงคือ บริษัทโรงเลื่อยจักรพงษ์ภิญโญ จำกัด บริษัทนี้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาขอนแก่น บริษัทจะต้องทำสัญญาจำนองทรัพย์สินของบริษัท เนื่องจากจำเลยเป็นผู้ทำนิติกรรมรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินรายพิพาทแทนบริษัทโรงเลื่อยจักรพงษ์ภิญโญ จำกัด จึงทำในนามจำเลยเป็นผู้จำนองต่อมาธนาคารกสิกรไทย จำกัด เร่งรัดโรงเลื่อยจักรพงษ์ภิญโญ จำกัด ให้จัดหาเงินมาไถ่ถอนจำนองบริษัทโรงเลื่อยจักรพงษ์ภิญโญ จำกัด จึงตกลงกับโจทก์ในฐานะผู้จัดการธนาคารนครหลวงไทย จำกัด สาขาขอนแก่น ให้ชำระเงินแทนบริษัทโรงเลื่อยจักรพงษ์ภิญโญ จำกัด โจทก์ได้ไปทำหนังสือรับรองชำระหนี้ ๒๕๐,๐๐๐ บาทแก่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาขอนแก่น จำเลยในฐานะที่มีชื่อเป็นผู้ถือโฉนดที่ดินพิพาท จึงทำสัญญากู้ ๑ ฉบับแทนบริษัทโรงเลื่อยจักรพงษ์ภิญโญ จำกัด ต่อมาจำเลยได้จำนองที่ดินพิพาทเป็นประกันหนี้รายนี้อีกครั้งหนึ่ง จำเลยหาได้รับเงินกู้รายนี้จากโจทก์ไม่
ต่อมานายแดงสามีจำเลยในฐานะประธานกรรมการบริษัทโรงเลื่อยจักรพงษ์ภิญโญ จำกัด และในฐานะส่วนตัว ได้ตกลงกับโจทก์และนายประยูรว่านายประยูรยอมใช้หนี้ให้แก่ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด สาขาขอนแก่น แทนนายแดงในฐานะประธานกรรมการโรงเลื่อยจักรพงษ์ภิญโญ จำกัด และในฐานะส่วนตัวแล้วขอให้ยกฟ้อง
บริษัทโรงเลื่อยจักรพงษ์ภิญโญ จำกัด ร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วมว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้องสอด ได้อาศัยชื่อจำเลยเป็นเจ้าของโฉนดที่ดินไปพลางก่อนนายประยูรได้ชำระหนี้ตามสัญญาจำนองแทนผู้ร้องสอดเป็นการ เสร็จสิ้นแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องบังคับจำนองที่ดินพิพาทได้อีก
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องและฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ชำระหนี้ค่าไถ่ถอนจำนองและแทนจำเลย การประนีประนอมยอมความที่นายประยูรตกลงชำระหนี้แทนบริษัทโรงเลื่อยจักรพงษ์ภิญโญ จำกัด นั้นโจทก์มิใช่คู่สัญญาด้วย ไม่ผูกพันโจทก์พิพากษาให้จำเลยชำระเงินกู้ ๔๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมกับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันกู้จนกว่าจะชำระเสร็จถ้าไม่สามารถชำระให้เอาที่ดินที่จำนองไว้ออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ให้โจทก์
จำเลยและผู้ร้องสอดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยและผู้ร้องสอดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าที่จำเลยและผู้ร้องสอดฎีกามาเป็นประการสุดท้าย คือ ได้มีการชำระหนี้ตามสัญญาจำนองที่โจทก์นำมาฟ้องแล้วเพราะมีการแปลงหนี้โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้แล้วนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าเมื่อพิจารณาสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วปรากฏว่านายแดงในฐานะประธานกรรม การบริษัทผู้ร้องและในฐานะส่วนตัว ทำสัญญาประนีประนอมกับนายประยูรโดยนายประยูรยอมใช้หนี้แก่ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด สาขาขอนแก่น แทนนายแดงซึ่งแม้จะพออนุมานได้ว่าเป็นการรับใช้หนี้แทนบริษัทผู้ร้องกับหนี้นายแดงในฐานะส่วนตัวก็ตามสัญญานี้ก็เป็นสัญญาระหว่างบริษัทผู้ร้อง นายแดง กับนายประยูร เท่านั้นส่วนเจ้าหนี้คือ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด สาขาขอนแก่น หาได้ทำสัญญากับนายประยูรด้วยไม่ จึงไม่ใช่แปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ดังที่จำเลยและผู้ร้องสอดฎีกา
พิพากษายืน

Share