คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1452/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คิดดอกเบี้ยล่วงหน้าเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด เอามารวมเป็นต้นเงินกู้ในสัญญา ดอกเบี้ยนั้นย่อมตกเป็นโมฆะทั้งหมด มิใช่เป็นโมฆะเฉพาะส่วนที่เกิน (อ้างฎีกาที่ 478/2488)
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงิน 14,000 บาท จำเลยให้การว่ากู้และรับเงินเพียง 10,000 บาท ส่วนอีก 4,000 บาทเอาดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อเดือน จำนวน 8 เดือน มารวมเข้าเป็นเงินต้นด้วย เป็นคำให้การที่ต่อสู้ถึงหนี้ตามสัญญากู้ 4,000 บาท ว่าไม่สมบูรณ์
การต่อสู้ว่าหนี้ตามเอกสารไม่สมบูรณ์ คู่ความมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างได้
การที่เจ้าหนี้ยอมรับชำระหนี้โดยวิธีที่ลูกหนี้มอบฉันทะให้บุตรของเจ้าหนี้ไปรับเงินบำนาญพิเศษที่ลูกหนี้กับบุตรมีสิทธิจะได้รับ แล้วเอามาหักชำระหนี้เงินกู้แทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ มิใช่เป็นกรณีเจ้าหนี้ตั้งตัวแทนรับชำระหนี้ แต่เป็นการตกลงที่เจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 หนี้นั้นย่อมเป็นอันระงับสิ้นไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ 14,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากจำเลยที่ 1 ผู้กู้ และจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกัน จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยที่ 1 กู้และรับเงินเพียง 10,000 บาท โจทก์เอาดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อเดือน รวม 8 เดือน เป็นเงิน 4,000 บาท มารวมเป็นต้นเงินกู้ในสัญญาด้วย โดยตกลงจะไม่คิดดอกเบี้ยอีกจำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้ให้โจทก์โดยให้สิบเอกมานิตย์บุตรโจทก์เป็นผู้รับเงินบำนาญพิเศษอันเป็นมรดกซึ่งจำเลยที่ 1 กับบุตรได้รับจากร้อยโทวิงสามีผู้ตายในราชการสงครามเกาหลี รวมชำระแล้ว10,706 บาท 52 สตางค์และโจทก์ขอให้จำเลยใช้อีก 3,300 บาท จำเลยได้มอบให้สิบเอกมานิตย์บุตรโจทก์ไปแล้วเป็นอันหมดหนี้โจทก์จะมาฟ้องเรียกอีกไม่ได้ และดอกเบี้ยที่โจทก์คิดเอา ก็มิชอบด้วยกฎหมายตกเป็นโมฆะ สัญญากู้ปลอม ขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 ตาย ไม่มีผู้เข้ามาเป็นคู่ความแทนศาลสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 1

ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ 10,000 บาท คิดดอกเบี้ยเกินกฎหมาย เรียกไม่ได้ จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนแล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังว่า โจทก์ให้จำเลยที่ 1 กู้เงินและรับเงินไปเพียง 10,000 บาท และคิดเอาดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อเดือน จำนวน 8 เดือนเป็นเงิน 4,000 บาท มารวมเป็นต้นเงินกู้ในสัญญาด้วย ดอกเบี้ย 4,000 บาทนี้ เป็นดอกเบี้ยที่เรียกเกินอัตรา ตกเป็นโมฆะทั้งหมดตามนัยฎีกาที่ 478/2488 ไม่ใช่เป็นโมฆะเฉพาะส่วนที่เกิดดังโจทก์ฎีกา

ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยไม่ให้การต่อสู้ไว้โดยชัดแจ้งว่าหนี้ตามสัญญากู้ไม่สมบูรณ์ จึงต้องห้ามมิให้นำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยได้บรรยายข้อเท็จจริงในคำให้การโดยละเอียดว่าได้กู้และรับเงินเพียง 10,000 บาท ส่วนอีก 4,000 บาท เอาดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อเดือน จำนวน 8 เดือน มารวมเป็นต้นด้วยซึ่งเป็นคำให้การที่ต่อสู้ถึงหนี้ตามสัญญากู้ 4,000 บาท ว่าไม่สมบูรณ์ จำเลยมีสิทธิสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย ไม่ต้องห้าม

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่า สิบเอกมานิตย์บุตรโจทก์ได้รับมอบฉันทะรับเงินบำนาญพิเศษของจำเลยที่ 1 กับบุตรจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินมณฑลทหารบกที่ 4 เพื่อเป็นการหักชำระหนี้ ตามที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงกันให้ชำระหนี้โดยวิธีนี้ รวมรับทั้งสิ้น 10,706 บาท 52 สตางค์ เกินกว่าหนี้ตามสัญญากู้ที่ฟัง หนี้ย่อมระงับสิ้นไป จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันจึงพ้นความรับผิด

ที่โจทก์ฎีกาว่า ตามหลักฐานการเซ็นรับบำนาญพิเศษที่สิบเอกมานิตย์ เซ็นรับ เป็นการรับแทนจำเลยที่ 1 กับบุตร จึงไม่ใช่หลักฐานเป็นหนังสือที่ลงลายมือชื่อโจทก์ แม้สิบเอกมานิตย์จะเป็นตัวแทนโจทก์แต่ก็ไม่มีหลักฐานการตั้งตัวแทนเป็นหนังสือถึงสิบเอกมานิตย์จะรับเงินมาจริง ก็ไม่ผูกพันโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องตั้งตัวแทนเพื่อรับชำระหนี้เงินกู้ แต่เป็นการตกลงที่เจ้าหนี้ยอมรับชำระหนี้อย่างอื่น โดยวิธีที่ลูกหนี้มอบฉันทะให้บุตรของโจทก์ไปรับเงินบำนาญพิเศษที่จำเลยที่ 1 กับบุตรมีสิทธิจะได้รับ แล้วเอามาหักใช้หนี้เงินกู้แทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้หนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 โจทก์จะนำสัญญากู้มาฟ้องอีกไม่ได้

พิพากษายืน

Share