แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ชั้นแรกโจทก์ได้ฟ้องผู้อื่นเป็นจำเลย และมีผู้ร้องสอดขอเข้าเป็นจำเลยและยื่นคำให้การต่อสู้คดีโจทก์อย่างชัดเจน ดังนี้ แสดงว่า ผู้ร้องได้ทราบคำฟ้องและสำเนาหนังสือสัญญาท้ายฟ้องดีแล้ว ผู้ร้องสอดจะฎีกาว่าไม่ได้รับสำเนาฟ้องและสำเนาสัญญาท้ายฟ้องไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินว่า เป็นของโจทก์โดยทางครอบครอง หรือถ้าโจทก์ไม่ควรได้กรรมสิทธิ์ก็ขอให้จำเลยคืนเงิน 3,000 บาทให้โจทก์ นายหอมหวลยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลย และได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีพร้อมกับคำร้อง ศาลส่งสำเนาให้โจทก์จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลอนุญาตให้โจทก์เพิ่มเติมฟ้องว่าขอให้ศาลเพิกถอนคำพิพากษาที่พิพากษาให้นางกุหลาบโอนที่ดินแปลงนี้ให้แก่นายหอมหวลผู้ร้องสอดนั้นไม่สมบูรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนคำพิพากษาคดีแดงที่ 108/2490 เฉพาะที่บังคับให้นางกุหลาบขายให้แก่นายหอมหวลนั้นเสีย และบังคับให้นางกุหลาบโอนขายที่พิพาทให้โจทก์ในราคา 3,000 บาท ศาลอุทธรณ์แก้ว่า ไม่ต้องเพิกถอนคำพิพากษาคดีแดงที่ 108/2490
นายหอมหวลฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่ผู้ร้องฎีกาว่า ไม่ได้รับสำเนาฟ้องและสำเนาหนังสือสัญญาซื้อขายนั้น คดีปรากฏว่าชั้นแรกโจทก์ฟ้องแต่นายเกียรติกับนางกุหลาบเป็นจำเลย ผู้ร้องนี้ขอเข้าเป็นจำเลยและยื่นคำให้การต่อสู้คดีโจทก์อย่างชัดเจน แสดงให้เห็นว่าผู้ร้องได้ทราบคำฟ้องและการซื้อขายดีแล้ว และต่อมาศาลนัดผู้ร้องกับโจทก์มาเปรียบเทียบ ทั้งสองฝ่ายแถลงว่ามีทางปรองดองกันได้ ศาลสั่งให้เลื่อนไป โจทก์แถลงว่าจะยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำพิพากษาที่โอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้ร้องภายใน 7 วัน ครั้นโจทก์ยื่นคำร้องแล้วศาลสั่งอนุญาต และส่งสำเนาให้ผู้ร้อง ผู้ร้องรับไปแล้ว บัดนี้ผู้ร้องจะมาร้องไม่ให้ศาลรับคำฟ้องฉบับเดิมซึ่งตนรู้อยู่ดีแล้ว เป็นการถือประโยชน์เอาเปรียบโดยไม่ชอบธรรม และไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
พิพากษายืน